สร้างดาต้าเซ็นเตอร์อย่างไร ให้ยืดหยุ่นและยั่งยืน

โดยปานกาจ ชาร์มา รองประธานบริหาร ธุรกิจ Secure Power ชไนเดอร์ อิเล็คทริค(Schneider Electric) ผมเคยเขียนบทความก่อนหน้านี้เกี่ยวกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมดาต้าเซ็นเตอร์เพื่อรับมือกับความท้าทายด้านพลังงานที่ใกล้เข้ามาทุกที โดยมุ่งเน้นที่การสร้างเอดจ์ดาต้าเซ็นเตอร์ที่ให้ความยั่งยืน ในขณะที่เรายังคงใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มัลกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อรับมือกับวิกฤตด้านสุขภาพที่เกิดขึ้นทั่วโลก ผมคิดว่าสิ่งสำคัญคือการหันกลับมาทบทวนและเปิดมุมมองให้กว้างขึ้นจากจุดเริ่มต้น เพื่อให้ครอบคลุมการเรียกร้องให้มีการดำเนินการเพื่อเพิ่มความยั่งยืนให้กับดาต้าเซ็นเตอร์ทุกขนาด เมื่อพิจารณาถึงการดำเนินกิจกรรมต่างๆ จากระยะไกลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในทั่วทุกภาคส่วนและอุตสาหกรรมต่างๆ จะเห็นว่าดาต้าเซ็นเตอร์ กลายเป็นปัจจัยที่อยู่เบื้องหลังในการสร้างศักยภาพให้กับการดำเนินชีวิตในแบบนิวนอร์มัล เมื่อต้องพึ่งพาดาต้าเซ็นเตอร์อย่างจริงจัง การหยุดชะงักของดาต้าเซ็นเตอร์จึงส่งผลกระทบอย่างมาก ทำให้ไม่สามารถประชุมทางวิดีโอ ไม่สามารถตรวจสอบการทำงานจากระยะไกล และไม่สามารถเข้าถึงการบริหารจัดการ หรือการสตรีมเนื้อหา ที่กำลังได้รับความสนใจอย่างมากและเป็นที่จับตาของสาธารณชน ในเวลาที่เราต้องพึ่งพาดาต้าเซ็นเตอร์มากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งจำเป็นคือการทำให้ดาต้าเซ็นเตอร์มีทั้งความยืดหยุ่นและยั่งยืน ซึ่งเรามีทั้งวิสัยทัศน์และแผนงานที่จะช่วยให้บรรลุผลได้ทั้งสองด้าน เมื่อเร่งการปฏิรูปสู่ดิจิทัลแล้ว ห้ามหันหลังกลับ การปฏิรูปสู่ดิจิทัล ช่วยย่นระยะเวลาในการตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ได้เร็วขึ้น จากหลายปีเหลือแค่เพียงไม่กี่เดือน นับเป็นความก้าวหน้าที่พาเราเข้าใกล้โลกดิจิทัลทั้งหมดได้มากขึ้น และไม่สามารถย้อนกลับไปได้ ในทางกลับกันเราสามารถคาดหวังว่าจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ในการเปลี่ยนกระบวนการของกิจกรรมมากมายสู่ระบบดิจิทัล ทั้งในการทำงานและการใช้ชีวิตส่วนตัว ดังเช่นที่ระบุไว้ในรายงานฉบับล่าสุดเรื่อง ‘บทบาทของสิ่งกระตุ้นโครงสร้างพื้นฐานในการฟื้นฟูของโควิด 19 และถัดไป’ ของ บอสตัน คอลซัลติ้ง กรุ๊ป และสภาเศรษฐกิจโลกที่ว่า “การเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตดิจิทัลมีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เนื่องจากคาดว่าจะมีการเร่งนำเทคโนโลยีมาปรับใช้มากขึ้นหลังช่วงโควิด-19” เพื่อตอบโจทย์ความต้องการที่เพิ่มขึ้น ดาต้าเซ็นเตอร์จะต้องปรับเปลี่ยนได้ตามต้องการและมีความยืดหยุ่น ในขณะเดียวกัน […]

ชไนเดอร์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่! EasyPact EZS เบรกเกอร์น้องใหม่ ง่ายจนใครๆ ก็ยกนิ้วให้ ชูโรงง่ายๆ ด้วยแบบ 3 โพล 3 เฟรม 3 ขนาด 3 ความง่าย

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) เปิดตัว EasyPact EZS เบรกเกอร์ MCCB (Molded-Case Circuit Breaker) รุ่นใหม่ผลิตภัณฑ์ในกลุ่ม ‘ชไนเดอร์ อีซี่’ ที่ราคาคุ้มค่า ปรับตั้งค่ามาจากโรงงานแบบสำเร็จรูป พร้อมใช้งานทันที ลดเวลาในการติดตั้งและการปรับตั้งค่า เหมาะสำหรับตู้ ตู้ควบคุมไฟฟ้าที่ติดตั้งในอาคาร สำนักงานขนาดเล็ก เช่น อพาร์ทเมนท์ อาคารพาณิชย์ โรงงานขนาดเล็ก เป็นต้น EasyPact EZS รุ่นใหม่มาพร้อม 3 ความง่าย ง่ายต่อการเลือกใช้ ไม่ต้องคิดเยอะ! ทุกรุ่นเป็นแบบ 3 โพล มี 3 เฟรม 3 ขนาด ได้แก่ ขนาดเล็ก 100A ทนกระแสลัดวงจร 25-50 kA ขนาดกลาง 160-250A ทนกระแสลัดวงจร 25/36 kA ขนาดใหญ่ 400-630A […]

นิยามใหม่ด้านประสิทธิภาพโรงงานอาหารและเครื่องดื่มในการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4

โดย โซฟี บอร์เน รองประธานอาวุโส ฝ่ายธุรกิจโรงงานระบบดิจิทัล ชไนเดอร์ อิเล็คทริค (Schneider Electric) เราจะรักษารากฐานด้านประสิทธิภาพและเพิ่มความสามารถด้านการติดตาม เสริมความยั่งยืน และความยืดหยุ่นเป็นสูตรสำเร็จได้อย่างไร ไม่ใช่เรื่องง่ายในการจะเป็นผู้ผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภคในอุตสาหกรรมการผลิตอาหารและเครื่องดื่ม เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์ด้านเวชภัณฑ์ที่ให้ทั้งผลกำไรและสามารถตอบโจทย์ด้านคุณภาพซึ่งเป็นสิ่งจำเป็น อีกทั้งต้องสอดคล้องตามกฎระเบียบข้อบังคับ มีราคาที่เหมาะสมสำหรับตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงความต้องการอย่างรวดเร็ว เรื่องนี้นับเป็นความท้าทายที่มากขึ้น เป้าหมายของเราคือการให้การสนับสนุนลูกค้าในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม ด้วยการช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพโรงงาน พร้อมกับช่วยให้การดำเนินงานมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ด้วยการปฏิรูปสู่ดิจิทัลหรือดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคการผลิตที่ไม่เคยมีความคล่องตัว ความคล่องตัวในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ คือนวัตกรรมถัดไปของภาคการผลิต ในช่วงที่มีการอ้างถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สอง นวัตกรรมด้านการผลิตครั้งยิ่งใหญ่ของเฮนรี่ ฟอร์ด ก็สามารถนำรถยนต์ไปสู่การใช้งานในวงกว้าง การหาวิธีผลิตรถยนต์ให้ได้ปริมาณมากในราคาที่ต่ำ ทำให้รถยนต์เปลี่ยนจากสิ่งที่คนรวยเท่านั้นถึงจะเป็นเจ้าของได้ กลายเป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถหาซื้อได้ เรื่องนี้มีการอ้างถึงอยู่บ่อยครั้งว่าเป็นการก้าวสู่สายการผลิตในรูปของ assembly line หรือการประกอบชิ้นส่วน ซึ่งใช้คนงานจำนวนน้อย นอกจากนี้ ยังเป็นการย่นระยะเวลาในการสร้างรถยนต์จาก 12 ชั่วโมง เหลือเพียงแค่ 2 ชั่วโมงครึ่ง การทำให้กระบวนการผลิตเรียบง่ายและลดจำนวนสายการผลิตให้เหลือเฉพาะที่จำเป็น ทำให้รถยนต์ส่วนใหญ่ถูกผลิตออกมาแค่สีเดียว คือสีดำ เนื่องจากเป็นสีที่หาได้ในราคาถูกที่สุดและทนทานมากที่สุด อุตสาหกรรม 4.0 ช่วยสร้างศักยภาพการผลิตที่คล่องตัว หลักการด้านการผลิตโดยดั้งเดิมของฟอร์ด ยังคงเป็นพื้นฐานที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ความกดดันในการผลิตสินค้าที่ถูกต้องในราคาที่เหมาะสมมีมากขึ้นกว่าที่ผ่านมามาก นอกจากเรื่องนี้แล้ว […]