Sasol มุ่งบรรลุเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์

Sasol Limited (Sasol) ประกาศความมุ่งมั่นปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2050 ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจของ Sasol ในการเร่งเปลี่ยนผ่านสู่โลกคาร์บอนต่ำ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศตามความตกลงปารีส (Paris Agreement)

เพื่อที่จะบรรลุพันธกิจในปี 2050 Sasol ได้เพิ่มเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) ทางตรง (Scope 1) และทางอ้อมจากการใช้พลังงาน (Scope 2) ในปี 2030 เดิมประกาศเมื่อปีที่แล้วว่า การดำเนินงานของบริษัทในภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 10% ภายในปี 2030 เพิ่มเป็น 30% สำหรับธุรกิจพลังงานและเคมีภัณฑ์ เทียบกับปีฐาน 2017 นอกจากนี้ บริษัทยังกำหนดเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทางอ้อมจากกิจกรรมอื่นๆ (Scope 3) สำหรับธุรกิจพลังงาน เทียบกับปีฐาน 2019 ซึ่งเป็นเป้าหมายที่สอดคล้องกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรม

Fleetwood Grobler ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ Sasol กล่าวว่า “จากการประเมินโดยละเอียดและการสร้างแบบจำลอง เราจะสามารถบรรลุเป้าหมายปี 2030 ได้โดยไม่ต้องยกเลิกหรือถอนการลงทุน แต่เราสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้โดยตรงจากสินทรัพย์ที่เรามีอยู่ในปัจจุบัน”

“สิ่งนี้จะสำเร็จได้ด้วยการผสมผสานพลังงานและประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต การลงทุนในพลังงานหมุนเวียน และการเปลี่ยนไปใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นวัตถุดิบตั้งต้นในห่วงโซ่คุณค่าของเราในภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ โซลูชันเหล่านี้เป็นที่รู้จักกันดีและส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การควบคุมของเรา และการลงทุนจะต้องมีความคุ้มค่า ด้วยการรักษาผลตอบแทนที่แข็งแกร่ง และให้สูงกว่าต้นทุนของเงินทุน”

หลังจากปี 2030 Sasol มีเส้นทางที่เป็นไปได้มากกว่าหนึ่งเส้นทางเพื่อไปสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ภายในปี 2050 โดยบริษัทมีทางเลือกต่างๆ ในการเปลี่ยนแปลงห่วงโซ่คุณค่าของแอฟริกาตอนใต้ ด้วยการเปลี่ยนวัตถุดิบตั้งต้นจากถ่านหินไปเป็นก๊าซให้มากขึ้น จากนั้นจึงค่อยๆ เปลี่ยนไปใช้ไฮโดรเจนสีเขียวและคาร์บอนที่ยั่งยืนในระยะยาว ในขณะที่เศรษฐกิจจะปรับตัวดีขึ้นสำหรับทางเลือกเหล่านี้

“ในอนาคตที่ไม่แน่นอน แนวทางนี้จะทำให้เรามีความคล่องตัวและสามารถปรับตัวได้ เมื่อเรามีตัวช่วยที่คุ้มทุน นอกจากนี้ เรายังหลีกเลี่ยงการถูกจำกัดด้วยโครงสร้างพื้นฐานและการใช้จ่ายด้านทุน” Grobler กล่าว

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เทคโนโลยี Fischer-Tropsch (FT) ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของ Sasol จะมีบทบาทสำคัญในอนาคตคาร์บอนต่ำ ด้วยการนำเสนอคุณค่าใหม่ๆ ที่น่าสนใจ

“กล่าวคือ เรากำลังจะจัดตั้งธุรกิจใหม่ที่ชื่อว่า Sasol ecoFT ด้วยความตั้งใจที่จะต่อยอดความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของเรา เพื่อสร้างตำแหน่งทางการตลาดที่สำคัญในระดับสากล หนึ่งในการใช้งานแรกๆ สำหรับเทคโนโลยีนี้น่าจะเป็นน้ำมันอากาศยานแบบยั่งยืน (SAF) เนื่องจากกฎระเบียบใหม่ๆ ทำให้เชื้อเพลิงชนิดนี้เป็นที่ต้องการมากขึ้น ประกอบกับเทคโนโลยีและวัตถุดิบตั้งต้นในปัจจุบันมีข้อจำกัดที่ FT สามารถจัดการรับมือได้”

การเปลี่ยนแปลงที่เป็นธรรม

จากการที่เศรษฐกิจทั่วโลกเปลี่ยนแปลงระบบพลังงาน สถานการณ์นี้จะพลิกโฉมอุตสาหกรรม เปลี่ยนกลุ่มของคุณค่าและตลาดแรงงาน ตลอดจนทำให้เกิดความต้องการทักษะและความสามารถที่หลากหลายในภูมิศาสตร์ที่แตกต่างกัน Sasol จะดำเนินการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรมผ่านรอยเท้าทางภูมิศาสตร์ โดยมีเป้าหมายเพื่อปกป้องและส่งเสริมโอกาสการจ้างงานผ่านการพัฒนากลุ่มของคุณค่าสำหรับพลังงานใหม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่งแอฟริกาใต้ที่ให้คำมั่นผลิตพลังงานหมุนเวียนและไฮโดรเจนสีเขียวต้นทุนต่ำสำหรับใช้เองและเพื่อโอกาสในการส่งออก ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในอุตสาหกรรมและรัฐบาลจึงต้องร่วมกันจัดทำแผนระดับชาติ เพื่อพัฒนาโอกาสและเพิ่มการกระจายสู่ท้องถิ่น เพื่อสร้างงานและความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ

“แม้ผลกระทบของแรงงานมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นหลังปี 2030 แต่เราจำเป็นที่จะต้องป้องกันล่วงหน้าตั้งแต่ตอนนี้ ด้วยการวางแผนทุนมนุษย์ในระยะยาวที่เหมาะสม ซึ่งรวมถึงการบริหารจัดการแรงงานที่อยู่ในภาคเชื้อเพลิงฟอสซิล และการลงทุนในการสร้างทักษะใหม่ (reskill) เพื่อตอบสนองเศรษฐกิจคาร์บอนต่ำในอนาคต” Grobler กล่าว

ธุรกิจของ Sasol ในอนาคต

ธุรกิจพลังงานของ Sasol ถือเป็นผู้นำการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในภูมิภาคแอฟริกาใต้ตอนใต้ ด้วยฐานสินทรัพย์ที่ได้เปรียบ โดยราคาน้ำมัน ณ จุดคุ้มทุนเงินสดอยู่ที่ต่ำกว่า 35 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และในฐานะหนึ่งในผู้ผลิตไฮโดรเจนสีเทารายใหญ่ที่สุดของโลก Sasol จะใช้ประโยชน์จากความเชี่ยวชาญนี้ในการกำจัดเชื้อเพลิงคาร์บอนผ่านการใช้วัตถุดิบตั้งต้นที่มีคาร์บอนต่ำลง ขณะที่เพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงและพลังงานที่ยั่งยืนในราคาที่แข่งขันได้

ในส่วนของธุรกิจเคมีภัณฑ์ Sasol จะเดินหน้าคว้าโอกาสการเติบโตผ่านคุณสมบัติทางเคมีที่มีลักษณะเฉพาะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเทคโนโลยี FT และ Ziegler-Alumina-Guerbet ทั้งนี้ ด้วยโรงงานในเลกชาร์ลส์ที่เปิดดำเนินการอย่างเต็มรูปแบบแล้วในตอนนี้ Sasol จึงมีเส้นทางที่ชัดเจนในการสร้างกระแสเงินสดเมื่อกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยเร่งการเติบโตในส่วนของสารเคมีชนิดพิเศษและสารเคมีที่ยั่งยืน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Essential Care Chemicals และ Advanced Materials ซึ่ง Sasol เป็นผู้นำตลาดอยู่แล้ว

Sasol ecoFT จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างธุรกิจใหม่ที่ยั่งยืนโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี FT ปัจจุบัน FT ใช้ไฮโดรเจนและคาร์บอนที่ได้จากเชื้อเพลิงฟอสซิล อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีนี้มีศักยภาพที่จะเปลี่ยนไปใช้ไฮโดรเจนสีเขียวและคาร์บอนที่ยั่งยืนเป็นวัตถุดิบตั้งต้น เช่น ชีวมวล คาร์บอนที่ได้จากกระบวนการที่มีการปล่อยคาร์บอนเข้มข้น ไปจนถึงการดักจับอากาศโดยตรง

“เทคโนโลยี FT ถือเป็นหัวใจสำคัญของห่วงโซ่คุณค่าในภูมิภาคแอฟริกาตอนใต้ และทำให้เรามีความพร้อมที่จะดำเนินการแยกคาร์บอนออกจากวัตถุดิบที่มีคาร์บอนต่ำ ตลอดจนเพิ่มการผลิตเชื้อเพลิงและสารเคมีที่ยั่งยืนซึ่งแข่งขันได้ในด้านต้นทุน” Grobler กล่าว

ใช้เงินทุนของตนเองในการเดินหน้าการเปลี่ยนผ่าน พร้อมส่งมอบผลตอบแทนที่ยั่งยืน

กลยุทธ์ที่มีการกำหนดเป้าหมายใหม่ของ Sasol ได้รับการสนับสนุนโดยกรอบการทำงานทางการเงินที่จะช่วยให้บริษัทสามารถเพิ่มมูลค่าร่วมกัน ควบคู่ไปกับการเดินหน้าเร่งการเปลี่ยนผ่าน ตลอดจนกลับมาจ่ายเงินปันผลที่ยั่งยืนและยืดหยุ่นให้แก่ผู้ถือหุ้นของเรา

“ด้วยกรอบการจัดสรรทุน ตลอดจนโครงสร้างการกำกับดูแลที่มีความชัดเจนและได้รับการปรับปรุงใหม่ให้ทันสมัย เราจะมั่นใจได้ว่าการตัดสินใจทั้งหมดที่เกี่ยวกับเงินทุนจะมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลเพื่อนำทางไปสู่อนาคตของ Sasol” Paul Victor ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของกลุ่มบริษัท Sasol กล่าว

ในช่วงแรกของแผนระยะสั้นถึงระยะกลาง หรือจนถึงปี 2025 Sasol จะเสริมความแข็งแกร่งให้กับงบดุล ควบคู่ไปกับการปรับปรุงความสามารถในการแข่งขันด้านต้นทุนและความสามารถในการเพิ่มการสร้างกระแสเงินสดในสถานการณ์ราคาน้ำมันตกต่ำ โดย Sasol ตั้งเป้าเพิ่มอัตราส่วนผลตอบแทนต่อเงินลงทุน (ROIC) เป็น 12-15% ในช่วงเวลานี้

สำหรับในช่วงที่สองของแผนระยะสั้นถึงระยะกลาง หรือจนถึงปี 2030 บริษัทจะมุ่งให้ความสำคัญในเรื่องความสมดุลระหว่างผลตอบแทนกับการลงทุนในแผนการเปลี่ยนผ่านของ Sasol โดยในช่วงนี้ Sasol วางแผนที่จะลงทุนราว 20-25 พันล้านแรนด์ต่อปีเพื่อรักษาฐานสินทรัพย์ ปฏิบัติตามกฎระเบียบด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อมและอากาศที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ตลอดจนสนับสนุนเงินทุนในการเปลี่ยนผ่านเพื่อให้บรรลุเป้าหมายลดการปล่อย GHG 30% โดยในส่วนนี้รวมเงินทุนเพื่อการเปลี่ยนแปลงโดยรวมจนถึงปี 2030 ที่ 15-25 พันล้านแรนด์ ในขณะที่คาดการณ์ว่า ROIC จะสูงกว่า 15%

“ภาพรวมผลตอบแทนของกลุ่ม Sasol โดยรวมจะยังคงดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและยังคงน่าดึงดูด โดยมีเส้นทางที่ชัดเจนไปสู่ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในขณะที่เราบรรลุเป้าหมายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” Victor กล่าวเสริม

บริษัทจะกลับมาจ่ายเงินปันผลอีกครั้งเมื่อบรรลุเงื่อนไขสำคัญที่กำหนดไว้ และมีความมั่นใจว่าผลตอบแทนที่มอบให้แก่ผู้ถือหุ้นจะมีความยั่งยืน เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มที่เกิดขึ้น ณ ขณะนั้น โดยจะมีการจ่ายเงินขั้นต่ำ 2.8 เท่า หรือ 36% ของ Core Headline Earnings Per Share (CHEPS) เมื่ออัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้สินแตะที่ 1.5 เท่าของหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA และระดับหนี้ที่แน่นอนต่ำกว่า 5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ จากนั้นจะเพิ่มขึ้นสูงสุด 2.5 เท่า หรือ 40% ของ Core HEPS เมื่อระดับหนี้สุทธิลดลงต่ำกว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่เงินปันผลปกติจะคงอยู่ในช่วงนี้