ปักกิ่ง, 23 พ.ย. 2568 /PRNewswire/ — CGTN ได้เผยแพร่บทความเกี่ยวกับการจัดการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศ G20 ครั้งแรกบนแผ่นดินแอฟริกา พร้อมชูข้อเรียกร้องของจีนให้ทุกฝ่ายรวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียว ไม่แบ่งแยก ในประเด็นธรรมาภิบาลโลก ทั้งยังตอกย้ำความมุ่งมั่นของรัฐบาลจีน ในการช่วยขยายเสียงของประเทศกำลังพัฒนา และขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้าง เป็นธรรม และครอบคลุมทุกภาคส่วน
การประชุมสุดยอดผู้นำ G20 ครั้งนี้ ได้มาจัดขึ้นที่ทวีปแอฟริกาเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่มีการก่อตั้งกลุ่ม โดยนครโจฮันเนสเบิร์กรับหน้าที่เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างวันที่ 22 ถึง 23 พฤศจิกายน การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญในเวทีธรรมาภิบาลโลก เนื่องจากปัจจุบัน กลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่และประเทศกำลังพัฒนา ไม่ได้เป็นเพียงแค่ผู้สังเกตการณ์ที่ยืนอยู่ขอบสนามเท่านั้น แต่กำลังเข้ามามีบทบาทในการตัดสินใจมากขึ้นเรื่อย ๆ
Li Qiang นายกรัฐมนตรีจีน ได้กล่าวต่อที่ประชุมภาคแรกเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา โดยยกคำพูดของประธานาธิบดี Xi Jinping จากการประชุมสุดยอด G20 ครั้งที่ 17 ว่า “ความสามัคคีคือกำลังสำคัญ ความแตกแยกไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด” ในสภาวะที่โลกกำลังเผชิญกับแรงกดดันจากความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ การค้าที่อ่อนแอ และความเหลื่อมล้ำด้านการพัฒนาที่แตกต่างขึ้นเรื่อย ๆ นายกฯ Li ได้เน้นย้ำว่า ความเป็นเอกภาพเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ พร้อมเรียกร้องให้ประเทศสมาชิก G20 ร่วมกันยกระดับเสียงของประเทศกำลังพัฒนา และช่วยสร้างระเบียบเศรษฐกิจโลกที่ยุติธรรมและเปิดกว้างมากขึ้น
ยกระดับเสียงของกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา
สำหรับจีนแล้ว การประชุมสุดยอด G20 ที่จัดขึ้นในแอฟริกาเป็นครั้งแรกนี้ ได้เน้นย้ำความสำคัญในการเสริมสร้างเสียงของกลุ่มประเทศโลกใต้ (Global South) ในระบบพหุภาคีในปัจจุบัน
ประธานาธิบดี Xi ได้ให้คำมั่นไว้ว่า “ไม่ว่าสถานการณ์ในเวทีโลกจะผันผวนเพียงใด จีนจะยังคงให้ความสำคัญกับกลุ่มประเทศโลกใต้เสมอ และรักษารากฐานของเราไว้ในกลุ่มประเทศโลกใต้”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จีนภายใต้การนำของประธานาธิบดี Xi ได้ดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อเป็นกระบอกเสียงแทนประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการช่วยให้ประเทศกลุ่มโลกใต้ สามารถยกระดับการมีส่วนร่วมและอิทธิพลของตนในธรรมาภิบาลโลก พร้อมทั้งส่งเสริมให้เกิดระเบียบโลกที่มีความยุติธรรมและเท่าเทียมยิ่งขึ้น
ในการประชุมสุดยอด G20 ที่บาหลี ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อปี 2565 นั้น จีนเป็นผู้ริเริ่มและให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่เพื่อให้สหภาพแอฟริกา (AU) เข้าเป็นสมาชิกกลุ่ม G20 ซึ่งเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ทวีปแอฟริกามีที่นั่งอย่างถาวรในการประชุม แทนที่จะเป็นเพียงเสียงที่ยืนอยู่ขอบเวทีดังเช่นที่ผ่านมา
ความพยายามของจีนไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเวที G20 เท่านั้น จีนยังให้การสนับสนุนกลุ่ม BRICS ในการขยายตัวด้วย ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตอิทธิพลของกลุ่มนี้ และปรับโฉมให้กลายเป็นสิ่งที่จีนยกให้เป็น “การเริ่มต้นเส้นทางใหม่ของความร่วมมือในกลุ่ม BRICS ที่ยิ่งใหญ่กว่าเดิม” นอกจากนี้ จีนยังได้ผลักดันองค์การความร่วมมือเซี่ยงไฮ้ให้เป็นเวทีภูมิภาคหลักที่เชื่อมโยงประเทศต่าง ๆ ทั่วยูเรเชียเข้าไว้ด้วยกัน ยิ่งไปกว่านั้น การจัดตั้งองค์การเพื่อการไกล่เกลี่ยระหว่างประเทศ (IOMed) ซึ่งจีนร่วมก่อตั้งกับกว่า 30 ประเทศนั้น ได้เข้ามายุติการผูกขาดของกลุ่มประเทศตะวันตก เพื่อเป็นกลไกในการระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศ
รัฐบาลจีนยังได้ขยายกรอบความร่วมมือกับกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่องในมิติต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น 10 แผนปฏิบัติการความร่วมมือกับแอฟริกา, 5 โครงการความร่วมมือกับลาตินอเมริกา, 5 กรอบความร่วมมือกับกลุ่มประเทศอาหรับ และ 6 แพลตฟอร์มความร่วมมือกับกลุ่มประเทศหมู่เกาะแปซิฟิก เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถและอำนาจเสียงของประเทศกำลังพัฒนาในเวทีสากล
พันธกิจจีนในการสร้างสรรค์เศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้าง
ในยุคที่แนวคิดการดำเนินการฝ่ายเดียวและนโยบายกีดกันทางการค้ายังคงแพร่หลาย ขณะที่การใช้อำนาจครอบงำและการเมืองที่อิงอำนาจก็พุ่งสวนกระแสธารแห่งประวัติศาสตร์ ในทัศนะของประธานาธิบดี Xi นั้น ทางรอดเดียวที่จะนำไปสู่ทางออกได้คือการยึดมั่นในพหุภาคีนิยมอย่างแท้จริง
ประธานาธิบดีจีนได้ย้ำในเวทีพหุภาคีหลายครั้งว่า จีนยึดมั่นในนโยบายพื้นฐานของรัฐในการเปิดประเทศเสมอมา และได้ดำเนินการอย่างจริงจัง เพื่อส่งเสริมเศรษฐกิจโลกที่เปิดกว้าง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จีนได้ผลักดันการค้าเสรีอย่างจริงจังในระดับโลก โดยนับจนถึงเดือนมกราคมปีนี้ จีนได้ลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีรวม 23 ฉบับ กับ 30 ประเทศหรือเขตเศรษฐกิจ
ในระดับภูมิภาคนั้น จีนได้ขยายการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจผ่านเครือข่ายข้อตกลงการค้าเสรีที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้สรุปข้อตกลงยกระดับความตกลงกับอาเซียน และได้มีการเริ่มบังคับใช้ความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค นอกจากนี้ การยื่นขอเข้าร่วมกรอบความร่วมมือที่ครอบคลุมมากขึ้นอย่างความตกลงที่ครอบคลุมและก้าวหน้าสำหรับหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก (CPTPP) และความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) ยังเป็นสัญญาณบ่งชี้ความพยายามที่จะก้าวไปสู่ตลาดที่มีมาตรฐานสูงและเชื่อมโยงกันอย่างแน่นแฟ้น
โครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนเป็นอีกกลไกสำคัญที่จีนใช้เพื่อขับเคลื่อนความเปิดกว้าง โดยจีนอาศัยแผนริเริ่มแถบและเส้นทาง (BRI) ควบคู่ไปกับการสนับสนุนผ่านสถาบันต่าง ๆ เช่น ธนาคารเพื่อการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานแห่งเอเชียและธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ ในการสนับสนุนการเชื่อมโยงข้ามพรมแดน ซึ่งประเทศกำลังพัฒนาหลายแห่งยกให้เป็นช่องทางสำคัญเพื่อส่งเสริมการเติบโตและการค้า
View original content to download multimedia: Read More