ผลการศึกษาสนับสนุนผลการวิจัยก่อนหน้าที่ว่า คุณภาพอากาศภายในอาคารที่ดีขึ้นนำไปสู่การทำงานของสมองและสุขภาพที่ดีขึ้นของผู้พักอาศัยในอาคาร
นับเป็นครั้งแรกในระดับโลกที่มีรายงานวิจัยฉบับใหม่ยืนยันว่า อาคารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพที่มีการระบายอากาศที่ดีขึ้น สามารถปรับปรุงการทำงานของสมองและสุขภาพของผู้อยู่อาศัยให้ดีขึ้นได้ ซึ่งบ่งชี้ว่า การระบายอากาศและการกรองอากาศเป็นแผนกลยุทธ์สำหรับอาคารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพที่สำคัญ เหนือสิ่งอื่นใด โดยรายงานวิจัยฉบับนี้ ซึ่งมีชื่อว่า COGfx Study 3: Global Buildings จัดทำขึ้นโดยคณะนักวิจัยจากวิทยาลัยสาธารณสุขแห่งฮาร์วาร์ด (Harvard T.H. Chan School of Public Health) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของรายงานวิจัยชุด COGfx Study ชื่อดัง ซึ่งตรวจสอบผลกระทบของคุณภาพอากาศภายในอาคารต่อวิธีคิดและความรู้สึกของผู้คน และรายงานวิจัยล่าสุดฉบับนี้สนับสนุนผลการศึกษาก่อนหน้าของห้องปฏิบัติการและผลวิจัยของสหรัฐ และยิ่งสนับสนุนข้อเท็จจริงที่ว่า คุณภาพอากาศภายในอาคารนอกจากจะเป็นผลดีต่อสุขภาพและความปลอดภัยของผู้คนแล้ว ยังดีกับผลลัพธ์ทางธุรกิจด้วย เพราะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มขึ้น วันลาป่วยลดลง และการทำงานของสมองดีขึ้น
Dave Gitlin ประธานและซีอีโอของ Carrier กล่าวว่า “ในขณะที่ผู้คนมากขึ้นกำลังจะย้ายกลับไปทำงานในออฟฟิศ, โรงเรียน และกิจกรรมสันทนาการ สุขภาพ ความปลอดภัย และระบบอัจฉริยะของสิ่งแวดล้อมภายในอาคารก็เป็นที่สนใจมากขึ้น รายงานวิจัย COGfX ยังแสดงให้เห็นว่า การระบายอากาศ และการกรองอากาศที่เหมาะสมของสิ่งแวดล้อมภายในอาคารมีบทบาทสำคัญทั่วโลกในการส่งเสริมแผนยุทธศาสตร์การสร้างสุขภาพแบบป้องกันล่วงหน้า ที่ Carrier เรามุ่งเน้นการส่งมอบโซลูชันที่เป็นนวัตกรรมใหม่ และบริการที่มีผลในเชิงบวกต่อสุขภาพ ประสิทธิภาพการทำงาน และผลลัพธ์การทำงานของสมองของผู้อาศัยในอาคารทุกแห่ง”
COGfx Study 3: Global Buildings ตรวจสอบผลกระทบของคุณภาพอากาศภายในอาคารต่อการทำงานของสมองของพนักงานออฟฟิศใน 6 ประเทศ ได้แก่ จีน, อินเดีย,เม็กซิโก, ไทย, สหราชอาณาจักร และสหรัฐ และรายงานวิจัยพบว่า การทำการทำงานของสมองจะลดลง เมื่อระดับของฝุ่นละอองจิ๋ว (PM2.5) และคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) เพิ่มขึ้น ซึ่งก๊าซ CO2 ที่เพิ่มขึ้นสามารถเป็นดัชนีบ่งชี้การระบายอากาศที่ย่ำแย่ในอาคารได้
ที่สำคัญคือการระบายอากาศแบบใช้เครื่องช่วย เช่น ระบบ HVAC ที่มีระบบกรองอากาศที่มีประสิทธิภาพ สามารถช่วยปกป้องผู้อาศัยในอาคารจากผลกระทบด้านความคิดความเข้าใจในเชิงลบที่เกิดจากฝุ่น PM2.5 และ CO2 ได้ ซึ่งนอกจากผลกระทบร้ายแรงต่อการทำงานของสมองแล้ว การลดการสัมผัสฝุ่น PM2.5 ยังเกี่ยวข้องกับประโยชน์ด้านสุขภาพอื่นๆอีกหลายข้อ อาทิ การลดโรคหัวใจและหลอดเลือด, การป่วยเป็นโรคหอบหืด และการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ขณะที่รายงานวิจัยฉบับนี้มุ่งเน้นไปที่พนักงานออฟฟิศในอาคารพาณิชย์ แต่ประเด็นสำคัญก็สามารถนำไปใช้กับสิ่งแวดล้อมภายในอาคารทั้งหมดได้ โดย Carrier นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ มากมายที่เพิ่มประสิทธิภาพให้กับคุณภาพอากาศภายในอาคาร ซึ่งรวมถึงชุดโซลูชันที่ทันสมัยผ่าน Carrier’s Healthy Buildings Program ที่รองรับธุรกิจแนวดิ่งที่สำคัญทั้งบริการสุขภาพ, การต้อนรับ, การศึกษา, ค้าปลีก และการเดินทะเล โดยโครงการ Healthy Buildings Program ของ Carrier มอบนวัตกรรมต่างๆดังนี้:
– Abound แพลตฟอร์มระบบดิจิทัลแบบ Cloud-native ที่รวบรวมข้อมูลจากระบบและเซ็นเซอร์ต่างๆ ไว้ด้วยกัน และสร้างความเข้าใจที่ชัดเจนให้กับข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับคุณภาพอากาศ, สภาวะอยู่สบาย และข้อมูลด้านผลการดำเนินงานอื่นๆ
– OptiClean Dual-Mode Air Scrubber & Negative Air Machine เครื่องปรับอากาศความดันลบแบบเคลื่อนที่ได้ ซึ่งจะทำให้อากาศสะอาด และขจัดอากาศที่อาจมีการปนเปื้อนของเชื้อโคโรนาไวรัส
– Indoor Air Quality (IAQ) Assessments การประเมินคุณภาพอากาศภายในอาคาร (IAQ) เพื่อกำหนดแผนยุทธศาสตร์อาคารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพที่สามารถนำมา
ประยุกต์ใช้กับอาคารในขณะนี้ได้ และรับประกันได้ว่า โซลูชันต่างๆ จะมีประสิทธิภาพยืนยาวไปจนถึงอนาคต
รายงานวิจัยฉบับล่าสุดเป็นการสานต่อผลการศึกษา COGfx ฉบับก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่า วิธีการคิดที่ดีขึ้น และสุขภาพที่ดีขึ้นสามารถพบได้ภายในอาคารที่เป็นมิตรต่อสุขภาพมากขึ้น โดยผลศึกษาฉบับแรกพบว่า คะแนนทดสอบการทำงานของสมองเพิ่มขึ้นสองเท่า เมื่อผู้ร่วมวิจัยอยู่ในสภาพจำลองที่เลียนแบบสภาพในอาคารที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมที่มีระบบระบายอากาศดีขึ้น ซึ่งตรงข้ามกับสภาพอาคารแบบดั้งเดิม ขณะที่รายงานวิจัย COGfx Study 2 ได้ตรวจสอบสภาพในอาคารที่ใช้งานจริงในสหรัฐ และพบว่า พนักงานที่อยู่ในอาคารที่ผ่านการรับรองด้านสิ่งแวดล้อมมีคะแนนทดสอบด้านความคิดความเข้าใจเพิ่มขึ้น26% และมีอาการป่วยน้อยลง 30% เมื่อเทียบกับอาคารที่ไม่ผ่านการรับรองด้านสิ่งแวดล้อม
สามารถอ่านรายงาน COGfx Study 3 ได้ที่นี่ และรายงานฉบับเต็มที่ www.theCOGfxStudy.com ติดตามการพูดคุยผ่านทางทวิตเตอร์โดยใช้แฮชแท็ก #TheCOGfxStudy
รายงานการศึกษาฉบับนี้ได้รับการสนับสนุนหลักจาก Carrier Global Corporation (NYSE:CARR)