“หัวเว่ย” เดินหน้าพัฒนาเครือข่ายขับเคลื่อนอัตโนมัติ เพื่อความเป็นอิสระของเครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์

ในระหว่างมหกรรมโมบายล์ เวิลด์ คองเกรส ประจำปี 2565 (Mobile World Congress 2022) หัวเว่ย (Huawei) ได้มอบหมายให้บริษัท ฟอร์เรสเตอร์ คอนซัลติง (Forrester Consulting) ทำการศึกษาและจัดทำรายงานเกี่ยวกับเครือข่ายขับเคลื่อนอัตโนมัติในชื่อ “การสร้างความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจดิจิทัลด้วยเครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ” (Building Leading Digital Business Competitiveness with A Highly Autonomous Driven Data Center Network) โดยกล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงดาต้าเซ็นเตอร์ระดับองค์กรไปสู่ดาต้าเซ็นเตอร์บนระบบคลาวด์ที่ทันสมัยในลักษณะของเครือข่าย “มัลติคลาวด์และไฮบริด” ในขณะที่เครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์กำลังเปลี่ยนจากระดับ 3 ไปสู่ระดับ 4 โดยรายงานฉบับนี้เรียกร้องให้มีการยกระดับระบบอัตโนมัติ พร้อมแนะนำวิธีการพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ระดับองค์กรให้ทำงานได้อย่างอิสระมากขึ้น

ฟอร์เรสเตอร์ได้ทำการสำรวจผู้นำด้านไอทีและผู้มีอำนาจตัดสินใจด้านเทคนิคจากองค์กรขนาดใหญ่และขนาดกลางรวม 197 แห่งทั่วโลก เกี่ยวกับสถานะในปัจจุบัน ความท้าทาย และเป้าหมายการเปลี่ยนแปลงเครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร

เทคโนโลยีและโมเดลธุรกิจใหม่ขับเคลื่อนเครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์สู่ความเป็นอิสระในระดับสูง

รายงานระบุว่า 61.9% ขององค์กรที่ตอบแบบสำรวจกำลังสร้างดาต้าเซ็นเตอร์โดยใช้คลาวด์แบบส่วนตัวและแบบไฮบริด โดยดาต้าเซ็นเตอร์ที่อยู่บนคลาวด์ช่วยให้องค์กรต่าง ๆ สามารถบริการตนเองแบบออนดีมานด์ เข้าใช้งานได้อย่างทั่วถึง รวบรวมทรัพยากรได้อย่างครอบคลุม มีความยืดหยุ่น ตลอดจนมีความสามารถในการบริการที่ได้มาตรฐานและวัดผลได้ ซึ่งทั้งหมดนี้ต้องอาศัยเครือข่ายขับเคลื่อนอัตโนมัติ ในขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาดที่ดุเดือดมากขึ้นและรูปแบบธุรกิจที่รวดเร็วทำให้ความต่อเนื่องของบริการและประสิทธิภาพแบบเรียลไทม์เป็นที่ต้องการอย่างมาก ความต้องการทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้นเหล่านี้ยังต้องอาศัยความเป็นอิสระมากขึ้นในการวางเครือข่ายและการให้บริการอย่างรวดเร็ว รวมถึงการรับประกันความต่อเนื่องของบริการและป้องกันการหยุดชะงักของธุรกิจ

เครือข่ายที่ซับซ้อนมากขึ้นและเทคโนโลยีเครือข่ายที่ล้าสมัย คือความท้าทายที่สำคัญในการพัฒนาเครือข่ายขับเคลื่อนอัตโนมัติ

ภายหลังการประเมินตัวเอง องค์กรที่ตอบแบบสำรวจ 64% เชื่อว่าดาต้าเซ็นเตอร์ของตนอยู่ในระดับ 3 นั่นคือ เครือข่ายขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบมีเงื่อนไข แม้ว่าเทคโนโลยีต่าง ๆ เช่น คลาวด์คอมพิวติง ปัญญาประดิษฐ์ และเอสดีเอ็น จะช่วยให้เครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์สามารถยกระดับการปฏิบัติงานและการบำรุงรักษาอัจฉริยะโดยอัตโนมัติ อย่างไรก็ตาม องค์กรต่าง ๆ ยังคงเผชิญกับความท้าทายมากมายในการใช้งานระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขั้นตอนของการสร้าง รวมถึงการปฏิบัติงานและการบำรุงรักษาที่ยังคงต้องอาศัยคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญและทักษะของพนักงานเป็นอย่างมาก ซึ่งถือว่าไม่มีประสิทธิภาพและเกิดข้อผิดพลาดได้ง่าย

ในความเป็นจริงแล้ว องค์กรส่วนใหญ่ต่างพึ่งพาโซลูชันของบรรดาผู้จำหน่าย (ครอบคลุมแผนการ กระบวนการ และเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการใช้งานระบบอัตโนมัติ) เพื่อให้เกิดการทำงานอัตโนมัติในระดับหนึ่งสำหรับเครือข่ายซิงเกิลคลาวด์และซิงเกิลดาต้าเซ็นเตอร์ แต่เนื่องจากดาต้าเซ็นเตอร์ระดับองค์กรมีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว เครือข่ายมัลติคลาวด์ เครือข่ายมัลติดาต้าเซ็นเตอร์ และเครือข่ายลูกผสมจึงกลายเป็นบรรทัดฐานใหม่ ซึ่งทำให้เครือข่ายมีความซับซ้อนขึ้นมาก ด้วยเหตุนี้ โซลูชัน เครื่องมือ และทักษะที่มีอยู่จึงไม่สามารถตอบสนองความต้องการนี้ได้

ดาต้าเซ็นเตอร์ไม่ได้ถูกสร้างขึ้นภายในครั้งเดียว องค์กรที่ตอบแบบสำรวจ 50.8% ระบุว่ายังคงใช้เครือข่ายและอุปกรณ์เก่าจำนวนมากในขณะที่ขยายและสร้างโครงสร้างพื้นฐานดาต้าเซ็นเตอร์ อย่างไรก็ตาม สถาปัตยกรรมเครือข่ายเดิมไม่มีความยืดหยุ่นและพัฒนาได้ช้า ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากที่จะทำให้เครือข่ายรุ่นเก่าทำงานอัตโนมัติ สิ่งนี้ส่งสัญญาณปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง นั่นคือ การหาทางฟื้นฟูโครงสร้างพื้นฐานและเทคโนโลยีที่ล้าสมัยเพื่อปกป้องการลงทุนในอดีตที่ผ่านมา

แนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดและความร่วมมือช่วยเร่งการพัฒนา

ฟอร์เรสเตอร์แนะนำว่า องค์กรต่าง ๆ ต้องกำหนดเป้าหมายและแนวทางที่ชัดเจนในการพัฒนาเครือข่ายดาต้าเซ็นเตอร์ให้ทำงานอัตโนมัติ โดยอ้างอิงสถานะและกลยุทธ์ในปัจจุบัน นอกจากนั้นยังสามารถเรียนรู้จากแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในอุตสาหกรรม โดยเครือข่ายอัตโนมัติต้องอาศัยเทคโนโลยีทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์เครือข่าย สถาปัตยกรรมคลาวด์แบบไฮบริด หรือระบบอัตโนมัติ ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยากสำหรับองค์กรที่จะบรรลุผลสำเร็จได้ด้วยตนเอง วิธีการแก้ปัญหาคือการดึงจุดแข็งของพันธมิตรเพื่อเร่งให้เกิดการทำงานอัตโนมัติและนำหน้าคู่แข่งอยู่เสมอ