Skip to content
Home » News » หัวเว่ย นำเสนอโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทางการเงิน “MEGA”

หัวเว่ย นำเสนอโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทางการเงิน “MEGA”

ในระหว่างการประชุมสุดยอด หัวเว่ย อินเทลลิเจนท์ ไฟแนนซ์ ซัมมิต ประจำปี 2565 (Huawei Intelligent Finance Summit 2022) หัวเว่ยได้นำเสนอโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทางการเงินแบบหลายโดเมน มีประสิทธิภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นอิสระ หรือ “MEGA” (Multi-domain collaborative, Efficient, Green, and Autonomous) พร้อมกับนำเสนอโซลูชันอีกมากมายที่จะช่วยพลิกโฉมอุตสาหกรรมการเงินสู่ระบบดิจิทัล

โครงสร้างพื้นฐาน MEGA คือเทรนด์ระดับโลกสำหรับแวดวงการเงิน

ท่ามกลางกระแสการเงินแบบเชื่อมต่อเต็มรูปแบบ อัจฉริยะเต็มรูปแบบ และครอบคลุมทุกสถานการณ์ นวัตกรรมดิจิทัลคือกุญแจสำคัญสำหรับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความยืดหยุ่นในการดำเนินงาน และความยั่งยืน ซึ่งเป็นกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัลทั่วโลก ขณะเดียวกัน ประสบการณ์ดิจิทัลของผู้ใช้และนวัตกรรมทางธุรกิจก็กำลังเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัลในอุตสาหกรรมการเงิน

ดร. มาร์กาเร็ต หู (Dr. Margaret Hu) ประธานฝ่ายการตลาดและการขายโซลูชันของหัวเว่ย โกลบอล ดิจิทัล ไฟแนนซ์ (Huawei Global Digital Finance) กล่าวว่า “ในส่วนของการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบดิจิทัลและระบบอัจฉริยะในอุตสาหกรรมการเงินนั้น หัวเว่ยจะทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อรับมือกับความท้าทายที่รออยู่ข้างหน้า และช่วยเหลือภาคการเงินในการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล MEGA”

MEGA คือโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลแบบหลายโดเมน มีประสิทธิภาพ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และเป็นอิสระ หัวเว่ยเชื่อว่าทิศทางของ MEGA มีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลทางการเงินในยุคใหม่ โดยในการวางโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล MEGA จะมีการยกระดับการประมวลผล การจัดเก็บ และการเชื่อมต่อ เพื่อช่วยให้บรรดาสถาบันการเงินสามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพสูง มีความพร้อมสูง และมีสมรรถนะสูง ผ่านความร่วมมือในการย้ายระบบไปไว้บนคลาวด์ ความร่วมมือข้ามโดเมน และความร่วมมือหลากหลายส่วน

คุณนิโคลัส หม่า (Nicholas Ma) ประธานกลุ่มธุรกิจเอ็นเตอร์ไพรส์ประจำเอเชียแปซิฟิกของหัวเว่ย กล่าวว่า “ในการสร้างสรรค์การเงินดิจิทัลที่ชาญฉลาดและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เราจะก้าวหน้าเร็วขึ้นก็ต่อเมื่อมีการสร้างความร่วมมือในระบบนิเวศอย่างมั่นคงและยั่งยืน เราจะยกระดับความร่วมมือในระบบนิเวศร่วมกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อตอบสนองความต้องการด้านดิจิทัลของอุตสาหกรรมการเงิน โดยอาศัยความสามารถด้านการวิจัย โซลูชันที่เปี่ยมด้วยนวัตกรรม แพลตฟอร์มเทคโนโลยี และหัวเว่ย คลาวด์ ของเรา”

หัวเว่ยเผยโฉมโซลูชันโครงสร้างพื้นฐาน MEGA นำนวัตกรรมขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล

หัวเว่ยมุ่งนำเทคโนโลยีและขีดความสามารถด้านนวัตกรรมมาใช้ โดยทำงานร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนาโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มีความล้ำหน้า

โซลูชันการประสานงานการจัดเก็บ-การเชื่อมต่อออปติคอล (Storage-Optical Connection Coordination หรือ SOCC) ตัวแรกของอุตสาหกรรม: การผสานกันระหว่างการตรวจจับความขัดข้องบนสื่อส่งข้อมูลแบบออปติคอลในระดับมิลลิวินาทีกับอัลกอริทึมสับเปลี่ยนสตอเรจที่รวดเร็ว ช่วยลดเวลาสลับช่องทางระบบรับและแสดงผล (I/O) จาก 120 วินาที เหลือเพียง 2 วินาที เมื่อสื่อส่งข้อมูลเกิดความขัดข้อง ทำให้ความขัดข้องของธุรกรรมเป็นศูนย์และให้บริการออนไลน์ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมงสำหรับลูกค้าภาคการเงิน
โซลูชันควบคุมหลายโดเมน (Multi-Domain Controller หรือ MDC): การที่คลาวด์สาธารณะ คลาวด์ส่วนตัว และศูนย์ข้อมูลดั้งเดิมของลูกค้าภาคการเงินถูกแยกออกจากกัน ทำให้แผนกต่าง ๆ เผชิญกับความยากลำบากในการประสานงานเรื่องการเดินระบบและซ่อมบำรุงเครือข่าย โซลูชัน MDC ทำหน้าที่ตรวจสอบรับรองแบบจำลองทั่วเครือข่ายและเปิดโอกาสให้ตั้งค่าได้ในคลิกเดียว ช่วยลดเวลาในการเปลี่ยนเครือข่ายจากหลักวันเหลือเพียงหลักนาที
หน่วยเก็บข้อมูลที่หลอมรวมกัน (Converged Storage Pool): เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าที่มองหาสภาพแวดล้อมหลายรูปแบบ ข้อมูลทั้งหมดจากอุปกรณ์จริง อุปกรณ์เสมือน คอนเทนเนอร์ หรือคลาวด์สาธารณะ จะรวมไว้ในแหล่งข้อมูลหนึ่งเดียว และบริหารจากส่วนกลางโดยใช้กลไกบริหารจัดการข้อมูล (DME) ของหัวเว่ย โซลูชันนี้ผสานรวมทรัพยากรข้อมูล โดยเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้ทรัพยากรรวมจาก 40% เป็น 70% และช่วยลดต้นทุนการเป็นเจ้าของ (TCO) ลงได้ถึง 30%
การปกป้องข้อมูลที่วางใจได้: ในกรณีที่ต้องรับมือกับไวรัสและแรนซัมแวร์ โซลูชันของหัวเว่ยผสานรวมไฟร์วอลล์ ระบบการผลิตแบบออลแฟลช และระบบสำรองแบบออลแฟลชเข้าด้วยกัน เพื่อให้การปกป้องอย่างครบวงจร ตั้งแต่การตรวจจับ ป้องกัน และแยกไวรัส ไปจนถึงการกู้คืนข้อมูล ส่งผลให้อัตราการตรวจจับไวรัสเพิ่มจาก 99.5% เป็น 99.9% ขณะเดียวกันก็ลดเวลาสำรองข้อมูลและกู้คืนได้ถึง 5 เท่า โซลูชันนี้สามารถป้องกันการโจมตีจากไวรัส เช่น แรนซัมแวร์ ทั้งยังมอบความมั่นคงปลอดภัยในการให้บริการทางการเงินอีกด้วย
หัวเว่ยทำงานกับเนทิส (Netis) เพื่อร่วมพัฒนาโซลูชันเดินระบบและบำรุงรักษา (O&M) อัจฉริยะในระดับบริการสำหรับอุตสาหกรรมการเงิน เพื่อรับมือกับปัญหาท้าทายต่าง ๆ ในระบบไอที โดยโซลูชันดังกล่าวทำให้มองเห็นการทำ O&M ในส่วนของบริการ การใช้งาน ระบบคลาวด์ ดาต้าเซ็นเตอร์ เครือข่าย และอุปกรณ์ต่าง ๆ ตั้งแต่ต้นจนจบ ครอบคลุมจุดเชื่อมต่อทั้งหมด
หัวเว่ยและทงดวน (Tongdun) ร่วมกันพัฒนาโซลูชันรองรับการตัดสินใจเรื่องความเสี่ยง (Intelligent Risk Decision): ผสานรวมกลไกการตัดสินใจและขีดความสามารถในการบริหารจัดการแบบจำลองระดับแถวหน้าของทงดวน เข้ากับหัวเว่ย คลาวด์ (Huawei Cloud) ร่วมด้วยเทคโนโลยีข้อมูลและเอไอชั้นนำ เช่น Hetu, DGC, Lakehouse และ GES โดยโซลูชันนี้ช่วยลูกค้าภาคการเงินเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจได้กว่า 70% ในกรณีต่าง ๆ เช่น การต่อต้านการทุจริตและจัดอันดับเครดิต โดยเวลาตอบสนองเฉลี่ยในกรณีสเกลใหญ่ ๆ ที่เกิดในเวลาเดียวกันนั้นอยู่ที่ไม่ถึง 50 มิลลิวินาที นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับกฎเกณฑ์และแบบจำลองในตัว ทำให้เดินระบบได้อย่างรวดเร็วและจัดการปัญหาท้าทายในการให้บริการได้
นับจนถึงปัจจุบัน หัวเว่ยให้บริการลูกค้าภาคการเงินรวมกว่า 2,000 ราย ในกว่า 60 ประเทศและดินแดน โดยลูกค้า 49 รายในจำนวนนี้ติดอันดับธนาคารชั้นนำ 100 แห่งของโลก

อ่านเพิ่ม  UltiMaker S7 พัฒนาต่อยอดจากเครื่องพิมพ์ 3 มิติ S-Series ที่ได้รับรางวัลมาแล้ว พร้อมคุณสมบัติใหม่อย่างอุปกรณ์ควบคุมอากาศในตัวและฐานพิมพ์แบบยืดหยุ่น ยกระดับการใช้งานที่ง่ายดายและความน่าเชื่อถือขึ้นไปอีกขั้น อัลทิเมกเกอร์ (UltiMaker) ผู้นำระดับโลกด้านเครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบตั้งโต๊ะ ประกาศเปิดตัว UltiMaker(R) S7 เครื่องพิมพ์ 3 มิติรุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล S-Series ที่ขายดีที่สุด “ลูกค้ากว่า 25,000 รายสร้างสรรค์ชิ้นงานใหม่ด้วย UltiMaker S5 ทุกวัน จนกลายเป็นหนึ่งในเครื่องพิมพ์ 3 มิติระดับมืออาชีพที่มีผู้ใช้มากที่สุดในตลาด” คุณนาดาฟ กอสเชน (Nadav Goshen) ซีอีโอของอัลทิเมกเกอร์ กล่าว “S7 รวมทุกคุณสมบัติของ S5 ที่ลูกค้าชื่นชอบ และพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น” โดย UltiMaker S7 มาพร้อมคุณสมบัติใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อให้ใช้งานง่ายและเชื่อถือได้ ด้วยฐานพิมพ์แบบยืดหยุ่นที่ทำให้การถอดชิ้นงานเป็นเรื่องง่าย รวมถึงอุปกรณ์ควบคุมอากาศ (Air Manager) ที่ช่วยกรองอนุภาคขนาดเล็กพิเศษ (UFP) ได้ถึง 95% และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุมอุณหภูมิ นอกจากนั้นยังปรับปรุงระบบปรับระดับฐานพิมพ์อัตโนมัติ เพื่อให้ชิ้นงานยึดเกาะกับฐานพิมพ์อย่างมั่นคงแข็งแรง ไอกัส (igus) พันธมิตรด้านวัสดุซึ่งมุ่งมั่นส่งมอบวัสดุพลาสติกที่มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น ได้มีโอกาสชมและทดสอบ S7 โดยคุณนิคคลัส ออเทบาค (Niklas Eutebach) วิศวกรพัฒนาการผลิตแบบเพิ่มเนื้อวัสดุ กล่าวว่า “ระบบปรับระดับฐานพิมพ์อัตโนมัติที่มาพร้อมกับ S7 ช่วยให้เราสามารถพิมพ์ชิ้นงานความละเอียดสูงด้วยคุณสมบัติเชิงกลที่เหมาะสมโดยใช้วัสดุของเรา” นอกจากนี้ ความก้าวหน้าในการควบคุมอุณหภูมิของเครื่อง S7 ยังทำให้ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่จากพื้นที่พิมพ์ขนาดใหญ่ 330 x 240 x 300 มม. พร้อมด้วยความแม่นยำที่วางใจได้ตั้งแต่การพิมพ์ชั้นแรกไปจนถึงชั้นสุดท้าย ส่วนฐานพิมพ์แบบยืดหยุ่นก็ช่วยให้ถอดชิ้นงานที่พิมพ์สำเร็จออกมาได้อย่างง่ายดายและช่วยลดการใช้แรงงาน ผู้ใช้จึงสามารถไปทำงานอื่นต่อได้อย่างรวดเร็ว คุณลุค เทย์เลอร์ (Luke Taylor) ผู้จัดการฝ่ายการตลาดของโพลีเมกเกอร์ (Polymaker) ผู้ผลิตวัสดุประสิทธิภาพสูงสำหรับการพิมพ์ 3 มิติ ก็ได้มีโอกาสทดสอบ S7 ภายใต้สภาพการใช้งานจริงของลูกค้า ด้วยการพิมพ์แม่พิมพ์คาร์บอนไฟเบอร์สำหรับสปอยเลอร์รถแข่ง “ชิ้นงานนี้มีขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เครื่อง S7 สามารถพิมพ์ได้” เขาอธิบาย “ชิ้นงานมีบางมุมที่แหลมคม ผมจึงคิดว่าเราสามารถทดสอบการยึดเกาะกับฐานพิมพ์ใหม่ และดูว่าวัสดุ CoPA ของเราใช้งานได้ดีกับชิ้นงานขนาดใหญ่หรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้ก็ยอดเยี่ยมมาก” S7 สามารถใช้งานร่วมกับวัสดุมากกว่า 200 ชนิดในระบบนิเวศของอัลทิเมกเกอร์ และบูรณาการอย่างไร้รอยต่อกับซอฟต์แวร์ชั้นนำของอุตสาหกรรมอย่าง UltiMaker Cura โดยสามารถพิมพ์ชิ้นงานได้อย่างง่ายดายด้วยวัสดุที่หลากหลายที่สุดในตลาด พร้อมบริการสนับสนุนเพื่อความสำเร็จของลูกค้า “ในบรรดาระบบนิเวศที่มีอยู่ทั้งหมด ระบบนิเวศของอัลทิเมกเกอร์ครอบคลุมมากที่สุด” คุณเทย์เลอร์กล่าว S7 Pro Bundle เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถจับคู่ S7 กับ UltiMaker Material Station เพื่อพิมพ์ชิ้นงานด้วยเส้นพลาสติกสูงสุด 6 ม้วน พร้อมระบบสลับวัสดุอัตโนมัติและระบบควบคุมความชื้น “UltiMaker S7 เป็นส่วนเติมเต็มที่ยอดเยี่ยมสำหรับเครื่องพิมพ์ตระกูล S-Series ของเรา” คุณกอสเชนกล่าวสรุป “เนื่องจากลูกค้าจำนวนมากขึ้นใช้การพิมพ์ 3 มิติเพื่อขยายและสร้างสรรค์ธุรกิจของตนเอง เราจึงมีเป้าหมายในการส่งมอบโซลูชันที่สมบูรณ์เพื่อให้ลูกค้าประสบความสำเร็จ ด้วยเครื่อง S7 ใหม่ ลูกค้าสามารถติดตั้งและใช้งานได้ภายในไม่กี่นาที โดยสามารถจัดการเครื่องพิมพ์ ผู้ใช้ และการออกแบบด้วยซอฟต์แวร์ Digital Factory ของเรา รวมถึงเพิ่มพูนความรู้ด้านการพิมพ์ 3 มิติด้วยหลักสูตรอีเลิร์นนิงผ่านทาง UltiMaker Academy ตลอดจนเลือกวัสดุและส่วนเสริมหลายร้อยรายการผ่าน UltiMaker Cura Marketplace” ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ S7 ได้ที่ https://ultimaker.com/s7 หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ ขอเชิญสื่อมวลชนรับชมการสาธิต UltiMaker S7 แบบเสมือนจริงในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ หากต้องการลงทะเบียนโปรดติดต่อบริษัทอินคัส (Incus) เกี่ยวกับอัลทิเมกเกอร์ อัลทิเมกเกอร์ (UltiMaker) คือผู้นำระดับโลกในอุตสาหกรรมการพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งมีพันธกิจในการส่งเสริมการผลิตแบบเพิ่มเนื้อวัสดุ (Additive Manufacturing) ด้วยการนำเสนอระบบนิเวศการพิมพ์ 3 มิติแบบตั้งโต๊ะที่ครอบคลุมทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และวัสดุ อัลทิเมกเกอร์ผสานรวมสองแบรนด์เครื่องพิมพ์ 3 มิติแบบตั้งโต๊ะชั้นนำ ได้แก่ อัลทิเมกเกอร์ และ เมกเกอร์บอต (MakerBot) เพื่อพัฒนาโซลูชันการพิมพ์ 3 มิติที่เข้าถึงได้และใช้งานง่ายสำหรับการใช้งานทุกรูปแบบ พร้อมกับสร้างแรงบันดาลใจให้อุตสาหกรรมก้าวไปสู่สถานะการผลิตที่ยั่งยืนและมีความรับผิดชอบในอนาคต อัลทิเมกเกอร์เป็นเครื่องหมายการค้าหรือเครื่องหมายการค้าจดทะเบียนของบริษัท อัลทิเมกเกอร์ บี.วี. ( Ultimaker B.V.) ส่วนเครื่องหมายการค้าอื่น ๆ เป็นสมบัติของบริษัทที่เป็นเจ้าของ รูปภาพ: https://mma.prnewswire.com/media/1988291/UltiMaker_S7.jpg โลโก้: https://mma.prnewswire.com/media/1988292/Ultimaker_Logo.jpg

รูปภาพ – https://mma.prnewswire.com/media/1865307/image.jpg