บริษัท ยาดี้ กรุ๊ป โฮลดิงส์ (Yadea Group Holdings) (01585:HK) ผู้นำในอุตสาหกรรมสกู๊ตเตอร์ไฟฟ้า แถลงผลการดำเนินงานรอบครึ่งปีแรกของปี 2565 เมื่อวันที่ 26 สิงหาคมที่ผ่านมา โดยรายได้ของทั้งกลุ่มบริษัทเพิ่มขึ้น 13.5% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 1.4051 หมื่นล้านหยวน (2.04 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) ด้านกำไรสุทธิส่วนที่เป็นของบริษัทแม่พุ่งขึ้น 52.6% เมื่อเทียบรายปี สู่ระดับ 900 ล้านหยวน (130 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในขณะที่ยาดี้ยังคงรักษาตำแหน่งผู้นำของวงการเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
บริษัทระบุว่า การเติบโตดังกล่าวเป็นผลมาจากการลงทุนอย่างต่อเนื่องในด้านการวิจัยและพัฒนา ซึ่งช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมผ่านการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยการลงทุนด้านการวิจัยและพัฒนาของยาดี้ในช่วงครึ่งปีแรกเพิ่มขึ้น 49% เมื่อเทียบรายปี ปัจจุบัน บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านสกู๊ตเตอร์แห่งนี้มีห้องปฏิบัติการ 2 แห่งที่ผ่านการรับรองจากหน่วยงานบริการด้านการรับรองระบบงานแห่งชาติของจีน นอกจากนั้นยังมีศูนย์วิจัยและพัฒนา 6 แห่ง รวมถึงศูนย์ออกแบบเชิงอุตสาหกรรมระดับชาติ 1 แห่ง โดยมีเจ้าหน้าที่ด้านการวิจัยและพัฒนากว่า 1,000 คน และมีการจดสิทธิบัตรกว่า 1,350 ฉบับจนถึงปัจจุบัน
หนึ่งในการคิดค้นทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีครั้งสำคัญของบริษัทคือ การคิดค้นเทคโนโลยีแบตเตอรี่กราฟีน TTFAR ตัวแรกของยาดี้ ซึ่งมีการจดสิทธิบัตรหลักมากถึง 36 ฉบับ โดยเซลล์พลังงานรุ่นนี้พัฒนามาถึงรุ่นที่ 4 แล้วหลังจากมีการนำไปใช้งานแพร่หลายอย่างรวดเร็ว และสามารถทำยอดขายรวมเกิน 45 ล้านยูนิตแล้ว
อีกหนึ่งความก้าวหน้าที่สำคัญคือ การพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมคาร์บอนไฟเบอร์ 2.0 TTFAR ซึ่งเป็นแบตเตอรี่ ลิเธียมตัวแรกของวงการและมีความจุมากที่สุดนับตั้งแต่มีการประกาศใช้มาตรฐานใหม่ทั่วประเทศสำหรับเซลล์พลังงาน ทั้งนี้ ยอดขายแบตเตอรี่กราฟีนและแบตเตอรี่ลิเธียมสำหรับยานยนต์ของยาดี้ และผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยีพลังงานใหม่อื่น ๆ เติบโตอย่างมากจนคิดเป็นสัดส่วน 55% ของยอดขายทั้งหมด
ปัจจุบัน ผลิตภัณฑ์ของยาดี้มีวางจำหน่ายใน 100 ประเทศและดินแดนทั่วโลก ขณะที่ยอดส่งออกยานยนต์ไฟฟ้าของบริษัทพุ่งขึ้น 104% เมื่อเทียบรายปีในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งเป็นการตอกย้ำตำแหน่งของบริษัทในฐานะแบรนด์ยานยนต์ไฟฟ้าสองล้อรายใหญ่ที่สุดในโลก บริษัทจะขยายธุรกิจในระดับสากลต่อไปเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดต่างประเทศ โดยได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์อย่างเต็มรูปแบบในสเปนเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ บริษัทมีสาขาราว 12,000 สาขาทั่วโลก และมีผู้ใช้กว่า 60 ล้านคน บริษัทจะเร่งขยายธุรกิจไปทั่วโลกด้วยการสร้างศูนย์วิจัยและพัฒนา โรงงาน และเครือข่ายการจัดจำหน่ายในต่างประเทศ พร้อมกับพิจารณาโอกาสในการควบรวมและซื้อกิจการ
ยาดี้ได้รับประโยชน์อย่างเห็นได้ชัดจากโครงสร้างผลิตภัณฑ์ที่มีการปรับปรุงให้ดีขึ้นและครอบคลุมมากขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ โดยอาศัยเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยเพื่อสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ระดับไฮเอนด์ที่มีความแตกต่าง ยาดี้ยังคงมีความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการพัฒนาเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยและมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง ท่ามกลางความไม่แน่นอนและความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ศักยภาพที่น่าประทับใจของยาดี้ในด้านความสามารถทางเทคโนโลยีและความแข็งแกร่งของผลิตภัณฑ์จะช่วยให้แบรนด์สามารถรักษาการเติบโตอย่างมีคุณภาพสูงไว้ได้ต่อไป