ใครๆก็รู้ว่าสมาร์ทโฟนระบบ iOS หรือไอโฟนนั้นครองบัลลังก์เป็นเจ้าแห่งสมาร์ทโฟนอย่างไร้ข้อกังขา แต่เห็นทีจะต้องเปลี่ยนความคิดเสียแล้ว เมื่อ หัวเว่ย ออกโรงเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สุดฉกาจที่มาพร้อมกับดีไซน์อันเรียบหรูในงาน IFA 2015 เมื่อเดือนก่อนออกมาสั่นสะเทือนวงการสมาร์ทโฟนระดับโลก ตอกย้ำการก้าวกระโดดของเทคโนโลยีแอนดรอยด์ที่มุ่งพัฒนาคุณสมบัติที่เหนือกว่าขึ้นมาเพื่อโค่นบัลลังก์คู่แข่งข้ามสายพันธุ์อย่างแอปเปิล
3 อาวุธสำคัญที่ “แอนดรอยด์” เตรียมงัดเพื่อโค่น “แอปเปิล”
ระบบสัมผัสที่ล้ำกว่า
ไอโฟน 6s และ 6s Plus ของแอปเปิลซึ่งเปิดตัวในงาน IFA 2015 ได้ชูเทคโนโลยีสัมผัสแบบสามมิติ (3D Touch) ที่สามารถตอบสนองต่อแรงกดนิ้วที่แตกต่างเพื่อใช้งานฟังก์ชั่นได้หลากหลาย แต่จนแล้วจนรอด หัวเว่ยชิงโอกาสเปิดตัวสมาร์ทโฟน Mate S ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Force Touch ก่อนหน้านั้นเป็นสัปดาห์ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวเอื้อผู้ใช้ให้สามารถซูม ค้นหาและเปิดใช้แอปพลิเคชั่นได้โดยการใช้แรงกดและลักษณะการกดที่แตกต่างกัน ที่งานนี้หัวเว่ยเล่นใช้ “ผลส้ม” มาสู้กับ “แอปเปิล” เพื่อแสดงประสิทธิภาพของเทคโนโลยีดังกล่าวด้วยการวางบนหน้าจอของ Huawei Mate S ทำเอาผู้เข้าร่วมงานโดนใจกับมุขจิกกัดนี้ไปตามๆกัน
ตัวเซ็นเซอร์ลายนิ้วมือบนไอโฟนยังคงถูกติดตั้งไว้ที่ด้านหน้าของตัวเครื่อง ในขณะที่สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นใหม่ๆ อย่างหัวเว่ย ก้าวไปไกลกว่านั้น โดยนอกจากสมาร์ทโฟนรุ่น Mate S แล้ว หัวเว่ยยังได้เปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่น G7 Plus ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยีสแกนลายนิ้วมือที่ก้าวหน้ายิ่งขึ้นภายในงานเดียวกัน เทคโนโลยีดังกล่าว คือ ระบบมัลติฟังก์ชั่นที่ถูกออกแบบมาให้สแกนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น โดยใช้เวลาเพียง 0.5 วินาที และมีความแม่นยำถูกต้องถึง 94%
นอกจากนี้ การติดตั้งเซ็นเซอร์ไว้ที่ด้านหลังตัวเครื่องถือเป็นเทคโนโลยีที่ทำให้ผู้ใช้สามารถเลื่อนหน้าจอและจัดการแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ได้ด้วยมือเพียงข้างเดียวอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการกดรับสายและถ่ายรูป ที่ทำให้ผู้ใช้สามารถปลดล็อคเครื่องได้อย่างรวดเร็วเพียงปลายนิ้วสัมผัส
ภาพประกอบ: หัวเว่ยกำลังวางส้มลงบนสมาร์ทโฟนเพื่อสาธิตการทำงานของระบบ Force Touch
นาฬิกาอัจฉริยะกว่าที่เคย
นาฬิกาอัจฉริยะ หรือ สมาร์ทวอทช์ถือเป็นประดิษฐกรรมที่มีมาตั้งแต่ปี 1970 แม้ว่าจะไม่ได้รับความนิยมจนกลายเป็นสินค้ากระแสหลัก ผ่านไป 40 กว่าปี แอปเปิลสามารถก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะได้ในปี 2014 อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เมื่อถึงปี 2015 สนามแข่งขันของสมาร์ทดีไวซ์ประเภทนี้ก็ถูกปลุกขึ้นมาให้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดชนิดที่ไม่มีใครยอมน้อยหน้า
สมาร์ทดีไวซ์ที่กำลังจะออกสู่ตลาดในไม่ช้านี้คือ Huawei Watch ที่ถูกออกแบบให้มีความเรียบง่ายและเปี่ยมไปด้วยรสนิยม มาพร้อมกับหน้าจอ AMOLED ความละเอียด 400×400 ซึ่งเป็นหนึ่งในความละเอียดที่สูงที่สุดสำหรับอุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะ มีสีและสายข้อมือให้เลือกหลากหลายรูปแบบ ความมีระดับที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีอัจฉริยะเช่นนี้ทำให้ Huawei Watch เป็นสมาร์ทดีไวซ์ที่เหมาะแก่การสวมใส่ในชีวิตประจำวัน ต่างจาก Apple Watch ที่จำเป็นต้องเชื่อมต่อกับไอโฟนเท่านั้น ขณะที่ผู้ใช้สามารถใช้งาน Huawei Watch ผ่านแอปพลิเคชั่น AndroidWear ที่รองรับทั้งระบบแอนดรอยด์และ iOS นอกจากนี้อีกหนึ่งสมาร์ทวอทช์ที่เหนือกว่า Apple Watch ทั้งในด้านรูปลักษณ์และการปรับให้เข้ากับผู้ใช้งานคือ Moto 360 ที่ก้าวล้ำไปอีกขั้นด้วยการเพิ่มระบบ GPS เข้ามาเพื่อให้นักวิ่งทั้งหลายสามารถตรวจสอบเวลาและระยะทางที่วิ่งได้โดยไม่ต้องพกสมาร์ทโฟนติดตัวไปด้วย
ภาพประกอบ: Huawei Watch มีหน้าปัดให้เลือกกว่า 40 แบบตามสไตล์ของผู้ใช้
สู่ความเป็นแฟชั่น
เป็นที่รู้กันดีว่าแอปเปิลครองตำแหน่งเจ้าแห่งสุนทรียะด้านการออกแบบของสมาร์ทดีไวซ์ที่ทั้งเรียบหรูและล้ำสมัย อย่างไรก็ตามสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆในท้องตลาด ก็ได้เรียนรู้เรื่องนี้จากแอปเปิลและยังนำไปต่อยอดสู่ดีไซน์ที่ผสมผสานความเป็นแฟชั่นที่เหนือกว่า เช่น สมาร์ทโฟน Huawei Mate S รุ่นใหม่ที่มีการเปิดตัวไปก่อนหน้านี้ในงาน IFA สร้างความประทับใจด้วยตัวเครื่องที่เป็นโลหะทั้งหมดกอปรกับส่วนโค้งเว้าอันแสนประณีตจากด้านหลังจรดด้านหน้าของตัวเครื่อง ทั้งหมดทั้งมวลนี้ เมื่อมองถึงคุณสมบัติของสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์รุ่นใหม่ๆ ที่กำลังจะเปิดตัวสู่ตลาดแล้ว เราคงได้เห็นว่างานนี้ “ตัวจริง” อาจจะมีมากกว่าหนึ่งก็เป็นได้
ภาพประกอบ: หน้าจอ Full HD ขนาด 5.5 นิ้วกับตัวเครื่องโลหะ 90% ทำให้ผู้ใช้สัมผัสได้ถึงความทนทานและความพิเศษของ Huawei G7 Plus ได้เป็นอย่างดีเมื่อถือตัวเครื่องไว้ในมือ