Skip to content
Home » Guest Post » เลือกซื้อประกันสุขภาพแบบไหนดี ถึงตอบโจทย์ความเสี่ยง

เลือกซื้อประกันสุขภาพแบบไหนดี ถึงตอบโจทย์ความเสี่ยง

ค่ารักษาพยาบาลสูงขึ้นทุกปี การมีประกันสุขภาพจึงเป็นความจำเป็นพื้นฐานในการบริหารความเสี่ยงทางการเงิน เมื่อเกิดเหตุไม่คาดฝัน เจ็บป่วย หรือต้องผ่าตัด เงินเก็บที่อุตส่าห์สะสมมาอาจหายวับไปกับค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ได้อย่างง่ายดาย ประกันสุขภาพจึงเปรียบเสมือนเกราะป้องกันที่ช่วยโอนถ่ายความเสี่ยงนี้ไปให้บริษัทประกันดูแลแทน คำถามที่ตามมาคือ แล้วจะเลือกประกันสุขภาพแบบไหนดี  

  1. ต้องโฟกัสที่ “วงเงินเหมาจ่าย” ไม่ใช่แค่ “ค่าห้อง”

หลายคนมักเริ่มต้นหาประกันสุขภาพแบบไหนดีจากการเปรียบเทียบแค่ค่าห้องต่อคืน ซึ่งเป็นข้อมูลที่ล้าสมัยไปแล้ว เพราะค่าใช้จ่ายจริง ๆ ของการรักษาพยาบาลที่แพงที่สุดคือ ค่ายา ค่าผ่าตัด และค่าธรรมเนียมแพทย์ สิ่งที่ควรพิจารณาเมื่อสงสัยว่าประกันสุขภาพแบบไหนดี คือ “วงเงินเหมาจ่าย” ต่อปี

  • วงเงินต้องมากพอในการรักษาโรคใหญ่ ลองประเมินว่าถ้าต้องผ่าตัดใหญ่หรือป่วยเป็นโรคร้ายแรงที่มีค่าใช้จ่ายหลักแสนถึงหลักล้าน วงเงินเหมาจ่ายรวมต่อปีที่เลือกมานั้นครอบคลุมหรือไม่ วงเงินที่น้อยเกินไปอาจทำให้เราต้องจ่ายส่วนต่าง (Co-pay) มหาศาลเมื่อเจ็บป่วยจริง ๆ
  • วงเงินแยกกับวงเงินรวม ให้ดูความชัดเจนของวงเงินย่อยด้วย เช่น บางแผนมีวงเงินเหมาจ่ายรวมสูง แต่แยกวงเงินย่อยสำหรับการรักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) หรือการรักษาโรคมะเร็งแบบเฉพาะเจาะจง ซึ่งอาจไม่ตอบโจทย์ความต้องการของเรา
  1. พิจารณาความเสี่ยงโรคร้ายแรงตามประวัติครอบครัว

ประกันสุขภาพแบบไหนดีสำหรับเรา? คำตอบขึ้นอยู่กับความเสี่ยงส่วนตัวและพันธุกรรม การซื้อประกันควรเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่เรามีโอกาสเจอสูง

  • ดูประวัติสุขภาพครอบครัว ถ้าในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคเบาหวาน ความดัน หรือโรคมะเร็ง ควรเลือกแผนประกันที่พ่วงความคุ้มครองโรคร้ายแรงเพิ่มเติม (Critical Illness Rider) เพื่อให้แน่ใจว่าจะมีเงินก้อนเพียงพอสำหรับการรักษาและพักฟื้นในระยะยาว
  • ความคุ้มครองเฉพาะทาง สำหรับผู้หญิงที่กังวลเรื่องมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งปากมดลูก อาจต้องมองหา ประกันสุขภาพ ที่มีวงเงินสำหรับตรวจคัดกรองหรือการรักษาเฉพาะโรคดังกล่าวเพิ่มเติม
  1. ความคุ้มครองผู้ป่วยนอก (OPD) จำเป็นหรือไม่ ?

ความคุ้มครอง OPD เป็นส่วนที่ทำให้เบี้ยประกันสูงขึ้นมาก การตัดสินใจว่าจะเลือกประกันสุขภาพแบบไหนดีที่มี OPD หรือไม่ ควรดูจากความถี่ในการเจ็บป่วยของเรา

  • กลุ่มที่ควรมี OPD ถ้ามีโรคประจำตัวที่ต้องไปพบแพทย์บ่อย ๆ มีลูกเล็ก หรือมีอาการป่วยเล็กน้อยเกือบทุกเดือน การมี OPD อาจช่วยให้ไม่ต้องควักเงินจ่ายเองทุกครั้ง
  • กลุ่มที่อาจไม่จำเป็น ถ้าเป็นคนแข็งแรง นาน ๆ ป่วยที การเลือกแผนที่ตัด OPD ออกไป เพื่อแลกกับวงเงินเหมาจ่ายผู้ป่วยใน (IPD) ที่สูงขึ้น และเบี้ยประกันที่ถูกลง ก็อาจจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่ากว่า
  1. เงื่อนไขความรับผิดชอบร่วม  (Deductible/Co-pay)

นี่คือจุดที่ทำให้ประกันสุขภาพมีราคาถูกลง แต่ก็ต้องแลกกับการที่เราต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนหนึ่งเอง ซึ่งหลายคนพลาดไป

  • Deductible (ความรับผิดชอบร่วมก่อน) คือการกำหนดให้ผู้เอาประกันจ่ายค่ารักษาเองก่อนก้อนแรก เช่น 20,000 บาท แล้วประกันจึงจะเริ่มจ่าย ส่วนนี้ทำให้เบี้ยประกันถูกลงอย่างมาก เหมาะสำหรับคนที่มีเงินสำรองพร้อมจ่ายในก้อนแรก และต้องการความคุ้มครองสูงเมื่อเกิดโรคใหญ่จริง ๆ
  • Co-pay (รับผิดชอบร่วมเป็นเปอร์เซ็นต์) คือการแบ่งจ่ายเป็นเปอร์เซ็นต์ร่วมกับบริษัทประกัน เช่น ประกันจ่าย 90% เราจ่าย 10% ซึ่งช่วยให้เบี้ยถูกลงและทำให้เรามีส่วนร่วมในการควบคุมค่าใช้จ่าย

การเลือกประกันสุขภาพแบบไหนดี ต้องเริ่มจากการประเมินความเสี่ยงและสถานะทางการเงินของตัวเอง อย่าเลือกเพราะตามเพื่อน หรือเพราะราคาถูกที่สุด ให้เน้นที่วงเงินเหมาจ่ายที่ครอบคลุมความเสี่ยงโรคร้ายแรงที่เรากังวล ดูความจำเป็นของ OPD และทำความเข้าใจเงื่อนไขความรับผิดชอบร่วม เมื่อคุณได้แผน ประกันสุขภาพ ที่ตอบโจทย์ความต้องการและสอดคล้องกับงบประมาณแล้ว คุณก็จะได้รับความคุ้มครองที่อุ่นใจและมั่นคงในชีวิต