Lazada

เอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์ บรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในกลุ่มธุรกิจพาณิชย์

ชดเชยการใช้งานที่ไม่ใช่ไฟฟ้าเพิ่ม 100% ผ่านการสนับสนุนการอนุรักษ์ผืนป่าที่มีความหลากหลายทางชีวภาพ 9 ,000 เอเคอร์

ก่อนหน้านี้ ESRT ได้ชดเชยไฟฟ้าด้วยพลังงานลมหมุนเวียน 100% ทั้งกลุ่มธุรกิจ

บริษัท เอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์ อิงค์ (Empire State Realty Trust, Inc.) (NYSE: ESRT) ประกาศว่า บริษัทบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในกลุ่มธุรกิจเชิงพาณิชย์ขนาด 9.9 ล้านตารางฟุต ผ่านการผสมผสานความเป็นผู้นำในการปรับปรุงประสิทธิภาพพลังงานด้านการก่อสร้าง และข้อตกลงใหม่ระยะ 3 ปีกับเขตสงวน 18 แห่งและ ACT โดยข้อตกลงใหม่ดังกล่าวสนับสนุนการอนุรักษ์ป่าไม้ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพเกือบ 9,000 เอเคอร์ ซึ่งจะชดเชยการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลที่ไม่ใช่ไฟฟ้าของ ESRT แบบ 100%

ความเป็นผู้นำอย่างต่อเนื่องของ ESRT ในด้านความยั่งยืนและประสิทธิภาพด้านพลังงาน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ตึกเอ็มไพร์สเตทลงได้ 54% และอาคารเชิงพาณิชย์แห่งอื่น ๆ ลงได้ 43% โดยเมื่อเร็ว ๆ นี้ ESRT ได้ตีพิมพ์ “คู่มือการสร้างอาณาจักร: แนวทางของเจ้าของอาคารในการปรับปรุงเพื่อลดคาร์บอน” (Empire Building Playbook: An Owner’s Guide to Low Carbon Retrofits) ซึ่งพัฒนาร่วมกับ NYSERDA และได้รับการสนับสนุนจากเจ้าของที่ดินในนิวยอร์กรายอื่น รวมถึงโครงการคลินตัน โกลบอล อินิชิเอทีฟ (Clinton Global Initiative) เพื่อแนะนำเจ้าของอาคารเกี่ยวกับขั้นตอนในการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน ผ่านการลดการปล่อยมลพิษด้วยการลดการพึ่งพาการชดเชย แต่ยังคงได้รับผลกำไรจากการลงทุน

“ในขณะที่กฎหมาย ความต้องการตลาด และความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศผลักดันให้เจ้าของอสังหาริมทรัพย์ปฏิบัติตามข้อกำหนดในการลดการปล่อยมลพิษ บริษัทต่าง ๆ จำเป็นต้องหาวิธีขั้นสูงกว่านี้ เพื่อชดเชยการใช้ในปัจจุบันขณะที่พวกเขามุ่งลดการปล่อยมลพิษ” แอนโธนี อี มัลกิน (Anthony E. Malkin) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารเอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์ กล่าว พร้อมเสริมว่า “ESRT ยังคงสร้างสรรค์และดำเนินการตามวิธีการต่าง ๆ เพื่อทำหน้าที่เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับผู้เช่าคุณภาพสูง และมอบประโยชน์แก่นักลงทุนด้วยการประหยัดและผลตอบแทนที่ชัดเจน การเป็นพันธมิตรกับเขตสงวน 18 แห่งและ ACT สนับสนุนความพยายามในการอนุรักษ์และปกป้องป่ากักเก็บคาร์บอนในนามของ ESRT และผู้เช่าของเรา”

ESRT มองว่าการชดเชยเป็นเครื่องมือสำหรับลดการปล่อยมลพิษ ในขณะที่ทำงานอย่างแข็งขันเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้พลังงานและลดการปล่อยมลพิษจากการปฏิบัติงานภายในกลุ่มธุรกิจ ด้วยความร่วมมือกับโครงข่ายไฟฟ้าหมุนเวียน ESRT อยู่ในเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายการปล่อยมลพิษสุทธิเป็นศูนย์ โดยลดการปล่อยมลพิษในการดำเนินงาน 80% ที่ตึกเอ็มไพร์สเตทภายในปี 2573 และทั่วกลุ่มอาคารพาณิชย์ทั้งหมดภายในปี 2578 ส่วนที่เหลืออีก 20% ใช้มาตรการชดเชย ทั้งนี้ ESRT ยกให้ 100% ของการปล่อยมลพิษโดยตรง (ขอบเขตที่หนึ่ง) การปล่อยมลพิษทางอ้อม (ขอบเขตที่สอง) และการปล่อยมลพิษของสินทรัพย์ปล่อยเช่าทางอ้อม (ขอบเขตที่สาม) เป็นส่วนหนึ่งของคำจำกัดความของความเป็นกลางทางคาร์บอน และข้อผูกพันในการลดการปล่อยมลพิษ การชดเชยการปล่อยมลพิษ และการเปิดเผยข้อมูลการปล่อยมลพิษ เนื่องจากทุกภาคส่วนนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอน

ป่าสงวนที่มีความหลากหลายทางชีวภาพขนาด 9,000 เอเคอร์ใกล้เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอของกรมป่าไม้นั้น จะชดเชยการใช้ไอน้ำและก๊าซธรรมชาติของ ESRT ได้อย่างเต็มที่ ความคิดริเริ่มนี้ช่วยเสริมการชดเชยการใช้ไฟฟ้าทั้งหมดในปัจจุบันของ ESRT ด้วยเครดิตพลังงานหมุนเวียน (REC) ที่ตึกเอ็มไพร์สเตทมานับตั้งแต่ปี 2554 และทั่วทั้งกลุ่มธุรกิจนับตั้งแต่เดือนมกราคม 2564 ภายใต้การเป็นพันธมิตรระยะยาวกับบริษัทกรีน เมาน์เทน เอนเนอร์จี (Green Mountain Energy) โดยสัญญาปี 2564 ทำให้ ESRT เป็นผู้ใช้พลังงานสีเขียว 100% รายใหญ่ที่สุดในภาคอสังหาริมทรัพย์ของประเทศ (ที่มา)

“เรามุ่งเน้นที่เป้าหมายของเราในการลดการปล่อยมลพิษจากการปฏิบัติงาน 80% ภายในปี 2573 ที่เอมไพร์สเตท และ 2578 สำหรับอาคารพาณิชย์ทั้งหมด” ดานา รอบบินส์ ชไนเดอร์ (Dana Robbins Schneider) รองประธานอาวุโสของ ESRT และผู้อำนวยการฝ่ายพลังงาน ความยั่งยืน และ ESG กล่าว พร้อมเสริมว่า “ในขณะที่เราใช้มาตรการเพื่อบรรลุเป้าหมายนี้ด้วยการร่วมมือกับโครงข่ายไฟฟ้า ผ่านโครงการที่ขับเคลื่อนด้วย ROI เช่น หลังคาพลังงานแสงอาทิตย์ 3.4 เมกะวัตต์ รวมถึงแบตเตอรี 8.2 เมกะวัตต์ และโครงการสถานีชาร์จรถไฟฟ้า 80 ในเมืองเวสต์เชสเตอร์ รัฐนิวยอร์ก เรามุ่งมั่นที่จะชดเชยการปล่อยเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มธุรกิจส่วนที่เหลือของเราผ่านแหล่งที่ได้รับการรับรองและเปี่ยมประสิทธิภาพ”

ESRT ลงทุนและดำเนินมาตรการอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดผลกระทบที่ธุรกิจของบริษัทมีต่อสิ่งแวดล้อม และแบ่งปันแนวทางปฏิบัติชั้นนำของอุตสาหกรรมในด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การลดการปล่อยมลพิษ อาคารที่ดีต่อสุขภาพ และคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในอาคารอย่างโปร่งใส

คุณมัลกิน กล่าวเสริมว่า “ธุรกิจของเรายังคงเป็นสิ่งที่น่าดึงดูดสำหรับผู้เช่าที่มองว่าคุณภาพหมายถึงอาคารที่ดีต่อสุขภาพและประหยัดพลังงานในราคาที่เข้าถึงได้” ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนของ ESRT ได้ทางออนไลน์

เกี่ยวกับเอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์

บริษัท เอ็มไพร์ สเตท เรียลตี้ ทรัสต์ อิงค์ (Empire State Realty Trust, Inc.) (NYSE: ESRT) คือทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT) ซึ่งครอบครองและบริหารจัดการพื้นที่สำนักงาน พื้นที่ค้าปลีก และอสังหาริมทรัพย์สำหรับหลายครอบครัวบนเกาะแมนฮัตตันและพื้นที่มหานครนิวยอร์ก โดยบริษัทเป็นเจ้าของตึกเอ็มไพร์สเตท เจ้าของฉายา “อาคารที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก” ซึ่งคว้ารางวัลทราเวลเลอร์ส ชอยส์ เบสต์ ออฟ เดอะ เบสต์ (Travelers’ Choice Best of the Best) ประจำปี 2565 จากทริปแอดไวเซอร์ (Tripadvisor) โดยครองอันดับ 1 สถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมของอเมริกา และอันดับ 3 ของโลก รวมถึงเป็นเจ้าของและผู้ดำเนินงานหอชมวิวโฉมใหม่ของตึกเอ็มไพร์สเตทด้วย นอกจากนี้ บริษัทยังเป็นผู้นำด้านอาคารที่ดีต่อสุขภาพ อาคารประหยัดพลังงาน และคุณภาพสิ่งแวดล้อมภายในอาคาร โดยปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อตารางฟุตต่ำที่สุดในบรรดา REIT ในมหานครนิวยอร์กที่มีการเสนอขายหุ้นต่อประชาชน ทั้งนี้ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2565 บริษัทมีพื้นที่สำนักงานให้เช่าราว 9.2 ล้านตารางฟุต รวมถึงพื้นที่ค้าปลีกให้เช่าราว 700,000 ตารางฟุต และมีอสังหาริมทรัพย์สำหรับหลายครอบครัวจำนวนสองแห่ง รวม 625 ยูนิต ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ esrtreit.com และติดตามข่าวสารได้ที่เฟซบุ๊ก อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ และลิงก์อิน

ข้อความคาดการณ์อนาคต

ข่าวประชาสัมพันธ์ฉบับนี้ประกอบด้วยข้อความที่มีลักษณะเป็นการคาดการณ์อนาคตตามนิยามของกฎหมายหลักทรัพย์ ซึ่งอาจจำแนกได้ด้วยคำว่า “สันนิษฐาน” “เชื่อ” “ประมาณการ” “คาดว่า” “ตั้งใจ” “วางแผน” “คาดคะเน” หรือคำและวลีอื่น ๆ ที่มีความหมายในทำนองเดียวกันหรือตรงข้ามกัน และไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต ผู้อ่านควรใช้ความระมัดระวังในการแปลและเชื่อถือข้อความคาดการณ์อนาคต เพราะมีปัจจัยเสี่ยง ความไม่แน่นอน และปัจจัยอื่น ๆ ทั้งที่ทราบและไม่ทราบ ซึ่งในบางกรณีก็อยู่เหนือการควบคุมของ ESRT และอาจส่งผลอย่างมากต่อผลลัพธ์ ผลการดำเนินงาน หรือความสำเร็จที่เกิดขึ้นจริง ปัจจัยเสี่ยงและปัจจัยอื่น ๆ มีอยู่มากมาย เช่น วิกฤตสาธารณสุขและภาวะชะงักงันทางเศรษฐกิจอันเนื่องมาจากโควิด-19, ความผิดพลาดของเงื่อนไขหรือผลการดำเนินงานของงานหรือการทำธุรกรรมที่กล่าวถึงข้างต้น ความไม่แน่นอนและความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศ สภาพอากาศที่เลวร้าย ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น และภัยธรรมชาติ และความถูกต้องแม่นยำในเกณฑ์วิธีและการประเมินของเราเกี่ยวกับเกณฑ์และเป้าหมายด้าน ESG ความตั้งใจและความสามารถของผู้เช่าในการรายงานเกณฑ์ด้าน ESG และบรรลุเป้าหมาย ESG ผลกระทบที่ข้อบังคับของรัฐบาลมีต่อความพยายามด้าน ESG ของเรา รวมถึงปัจจัยเสี่ยงและความไม่แน่นอนอื่น ๆ ซึ่งระบุในรายงานที่ ESRT และ ESROP ยื่นต่อคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (SEC) ซึ่งรวมถึงรายงานประจำปี Form 10-K สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 ภายใต้หัวข้อ “ปัจจัยเสี่ยง” (Risk Factors) ทั้งนี้ ESRT และ ESROP ไม่มีพันธะผูกพันในการปรับปรุงข้อความคาดการณ์อนาคต แม้ว่าจะมีข้อมูลใหม่หรือเหตุการณ์ใดเกิดขึ้นในอนาคตก็ตาม เว้นแต่เป็นไปตามบังคับของกฎหมาย