9krapalm.com

ความพยายามครั้งยิ่งใหญ่ในการปกป้องมหาสมุทรทั่วโลกกำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

Blue Nature Alliance ผนึกกำลังปกป้องมหาสมุทรทั่วโลกครอบคลุมพื้นที่ 18 ล้านตารางกิโลเมตร ตลอด 5 ปีข้างหน้า

โครงการอนุรักษ์มหาสมุทรโครงการใหม่มุ่งปกป้องและอนุรักษ์มหาสมุทรทั่วโลกครอบคลุมพื้นที่ 18 ล้านตารางกิโลเมตร (7 ล้านตารางไมล์) ตลอด 5 ปีข้างหน้า โดยพื้นที่ดังกล่าวมีขนาดใหญ่กว่าสหรัฐอเมริกาถึงสองเท่า และมีขนาดใหญ่กว่าทวีปอเมริกาใต้ทั้งทวีป

ความพยายามของ Blue Nature Alliance ซึ่งเป็นกลุ่มความร่วมมือที่นำโดย Conservation International, The Pew Charitable Trusts, Global Environment Facility, Minderoo Foundation และ Rob and Melani Walton Foundation มีจุดมุ่งหมายในการขยายและยกระดับการปกป้องมหาสมุทร โดยมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกับชาวบ้านและชุมชนในท้องถิ่น นักวิทยาศาสตร์และนักวิชาการ รวมถึงฝ่ายอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ปัจจุบัน Blue Nature Alliance กำลังประสานงานกับรัฐบาลหลายประเทศและพันธมิตรหลายฝ่ายในทะเลเลา (Lau Seascape) ของประเทศฟิจิ มหาสมุทรแอนตาร์กติกในทวีปแอนตาร์กติกา และหมู่เกาะตริสตันดากูนยา (Tristan da Cunha) เพื่อปกป้องมหาสมุทรกว่า 4.8 ล้านตารางกิโลเมตร (1.9 ล้านตารางไมล์) และอีกไม่นานนี้ Blue Nature Alliance จะสร้างความร่วมมือเพิ่มเติมในแคนาดา ปาเลา เซเชลส์ และภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียตะวันตก เพื่อยกระดับการปกป้องมหาสมุทรเกือบ 2 ล้านตารางกิโลเมตร (734,000 ตารางไมล์) นอกจากนี้ Blue Nature Alliance กำลังจะสร้างความร่วมมือในอีก 18 สถานที่ทั่วอเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ยุโรป และเอเชียแปซิฟิก โดยจะมีการประกาศสถานที่เพิ่มเติมในช่วงฤดูร้อนปีนี้

“มหาสมุทรที่อุดมสมบูรณ์คือกุญแจสำคัญในการดำรงอยู่ของเรา เพราะมหาสมุทรเป็นแหล่งอาหารและสร้างงานให้กับคนมากมายทั่วโลก ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตออกซิเจนครึ่งหนึ่งของทั้งหมดที่เราหายใจเข้าไป ถึงกระนั้น มหาสมุทรกลับได้รับการปกป้องน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับแหล่งธรรมชาติบนผืนดิน” Aulani Wilhelm รองประธานอาวุโสของ Oceans for Conservation International กล่าว “ทั่วโลกต้องร่วมมือกัน เราต้องร่วมมือกับรัฐบาลและคนในท้องถิ่นเพื่อชูการอนุรักษ์มหาสมุทรเป็นวาระสำคัญ เราต้องลงมือทำอย่างจริงจังเดี๋ยวนี้เพื่อผลักดันภารกิจนี้ให้ก้าวหน้าต่อไป”

มหาสมุทรทั่วโลกกำลังได้รับแรงกดดัน เนื่องจากต้องเผชิญกับภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การประมงแบบทำลายล้าง และมลพิษ ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์แสดงให้เห็นว่า การปกป้องและอนุรักษ์มหาสมุทรมีความสำคัญต่อการผลิตอากาศที่เราหายใจ การควบคุมสภาพภูมิอากาศ และการรักษาความหลากหลายทางชีวภาพให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม

“ตั้งแต่แนวชายฝั่งไปจนถึงทะเลลึก เราต้องทำการอนุรักษ์แบบองค์รวมและร่วมมือกัน ความพยายามร่วมกันของเราจะช่วยรักษาความอุดมสมบูรณ์ของมหาสมุทร เพื่อให้สามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและเป็นประโยชน์ทั้งต่อมนุษย์และธรรมชาติ” Tom Dillon รองประธานอาวุโสฝ่ายสิ่งแวดล้อมของ The Pew Charitable Trusts กล่าว “เพื่อส่งเสริมความหลากหลายทางชีวภาพ การประมง และเศรษฐกิจ Blue Nature Alliance จะร่วมมือกับพันธมิตรทั่วโลกเพื่อนำความรู้ทางวิทยาศาสตร์และบทเรียนที่ได้รับมาปรับใช้ และกำหนดแนวทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการอนุรักษ์มหาสมุทรในวงกว้าง เราต้องอาศัยความพยายามครั้งใหญ่ในการรับมือกับความท้าทายนานัปการที่มหาสมุทรทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในทุกวันนี้”

Blue Nature Alliance สนับสนุนเป้าหมายการปกป้องมหาสุทรอย่างน้อย 30% ภายในปี 2573 ซึ่งเป็นเป้าหมายระดับโลกที่คาดว่าจะได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการในการประชุมสุดยอดของสหประชาชาติว่าด้วยความหลากหลายทางชีวภาพในปีนี้ ปัจจุบัน มหาสมุทรทั่วโลกได้รับการปกป้องไม่ถึง 10% ขณะที่เป้าหมาย 30% ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นระดับที่จำเป็นต้องบรรลุให้ได้ เพื่อรักษาความสามารถในการฟื้นตัวและกลไกการทำงานของมหาสมุทร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งต่อมนุษย์และธรรมชาติ

“การอนุรักษ์ผืนดินและมหาสมุทร 30% ภายในทศวรรษหน้าต้องอาศัยการทำงานร่วมกันของทุกฝ่าย โดยมีวิทยาศาสตร์เป็นเครื่องนำทาง” Carlos Manuel Rodriguez ซีอีโอและประธานของ Global Environment Facility กล่าว “เรารู้สึกมีกำลังใจที่ได้เห็นการร่วมมือกันในมหาสมุทรแอตแลนติกตอนใต้ มหาสมุทรแปซิฟิกตอนใต้ และมหาสมุทรแอนตาร์กติก และกำลังจะเริ่มภารกิจในอีกหลายสถานที่ ได้แก่ แคนาดา ปาเลา เซเชลส์ และภูมิภาคมหาสมุทรอินเดียตะวันตก เราจะอาศัยโครงการ Blue Nature Alliance เพื่อบรรลุเป้าหมายการอนุรักษ์มหาสมุทร 30% ทั่วโลกภายในปี 2573”

เพื่อบรรลุเป้าหมายอันยิ่งใหญ่นี้ Blue Nature Alliance กำลังสร้างเครือข่ายพันธมิตรทั่วโลก เพื่อนำบทเรียนที่ได้จากความสำเร็จในการปกป้องพื้นที่ทางทะเลมาปรับใช้ และพัฒนาแนวทางใหม่ ๆ ในการอนุรักษ์มหาสมุทรในวงกว้าง โดยพันธมิตรหลายรายนำภูมิปัญญาและความต้องการของคนในท้องถิ่นและรัฐบาลมาผนวกเข้ากับแผนการบริหารจัดการในระยะยาว เพื่อรับประกันความยืดหยุ่นในการจัดหาเงินทุนและการดำเนินงาน

“การดึงคนในท้องถิ่นเข้ามามีส่วนร่วมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการบรรลุผลสำเร็จของการอนุรักษ์มหาสมุทรในระยะยาว” Dr. Tony Worby ซีอีโอ Flourishing Oceans ของ Minderoo Foundation ในออสเตรเลีย กล่าว “คนในท้องถิ่นต้องพึ่งพาอาศัยมหาสมุทรโดยตรง ทั้งในแง่ของการดำรงชีวิต การทำกิจกรรมทางวัฒนธรรม และนันทนาการ ดังนั้นพวกเขาต้องมีส่วนในการตัดสินใจเพื่อสนับสนุนความยั่งยืนในระยะยาว เครื่องชี้วัดความสำเร็จของ Blue Nature Alliance คือการสนับสนุนให้ชุมชนอนุรักษ์มหาสมุทรอย่างยั่งยืน”

“ผมกับ Melani เป็นห่วงอนาคตของโลกและชุมชนที่ต้องพึ่งพาอาศัยธรรมชาติทั้งในแง่ของสุขภาพ ความเป็นอยู่ และวัฒนธรรม” Rob Walton ผู้ร่วมก่อตั้ง Rob and Melani Walton Foundation กล่าว “ด้วยเหตุนี้ เราจึงยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของ Blue Nature Alliance ซึ่งเป็นการรวมตัวของนักการกุศล ผู้ประกอบธุรกิจ รัฐบาล และหน่วยงานเอ็นจีโอ เพื่อยกระดับการอนุรักษ์มหาสมุทร ช่วงเวลานี้มีความสำคัญอย่างยิ่งยวด เพราะมหาสมุทรกำลังได้รับแรงกดดันอย่างหนัก และเราทุกคนต้องช่วยกันปกป้องมหาสมุทร”

นอกเหนือจากพันธมิตรผู้ร่วมก่อตั้งทั้งห้ารายแล้ว เครือข่ายของ Blue Nature Alliance ยังประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการอนุรักษ์ นักวิทยาศาสตร์ และนักยุทธศาสตร์การเงินระดับโลกจากองค์กรต่าง ๆ ได้แก่ Big Ocean, Global Island Partnership, Gordon and Betty Moore Foundation, Murphy Family Foundation, Nekton, Oceana, Ocean Unite, Tiffany & Co. Foundation, SkyLight Surveillance และ Enforcement Technology

โลโก้ – https://mma.prnewswire.com/media/1490953/Blue_Nature_Alliance_Logo.jpg

Exit mobile version